30 ม.ค.58 ที่ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางตรวจเยี่ยมทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง เพื่อติดตามผลการดำเนินการจัดกิจกรรมสำหรับพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ต้องขังวัยหนุ่มในการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัวของกรมราชทัณฑ์ตามนโยบายคืนคนดี มีคุณค่า สู่สังคม โดยมี นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายเรืองศักดิ์ สุวารี ผู้อำนวยการทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง และผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ให้การต้อนรับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ทางทัณฑสถานวัยหนุ่มกลางได้เปิดโอกาสให้ญาติของผู้ต้องขังเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังแบบใกล้ชิด นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าทัณฑสถานวัยหนุ่มยังมีญาติของผู้ต้องขังที่มาเฝ้ารอเยี่ยมผู้ต้องขัง ในส่วนที่เห็นหน้าและสนทนากันผ่านการโทรศัพท์ที่เจ้าหน้าเตรียมไว้ให้ ซึ่งภายหลังที่ พล.อ.ไพบูลย์ มาถึงก็ตรงเข้าไปหาญาติๆ ของผู้ต้องขังเพื่อพูดคุย สอบถาม ทั้งเรื่องพฤติกรรม คดี โทษที่ได้รับ และความเห็นของญาติว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายไหนที่จะสามารถป้องกันเรื่องยาเสพติดได้ดี โดยญาติผู้ต้องขังบางรายระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถป้องกันปัญหายาเสพติดได้ดี
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า การนำคนมาขังเรือนจำเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งสังคมควรเน้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยมีครอบครัว และชุมชนเป็นส่วนสำคัญหลักในการแก้ปัญหา ซึ่งเรือนจำทั่วประเทศมี 143 แห่ง ไม่สามารถจัดกิจกรรมสำหรับพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ต้องขังได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ งบประมาณ และขนาดของเรือนจำที่ควบคุมนักโทษอยู่ 3 - 4 แสนคน ทำให้ระบบการพัฒนาการพฤตินิสัยไม่สามารถดำเนินการได้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ต้องขังวัยหนุ่ม หรือผู้ที่กระทำผิดที่มีอายุระหว่าง18 - 25 ปี จากเรือนจำ3 แห่ง ได้แก่ อยุธยา ปทุมธานี และนครศรีธรรมราช ที่สามารถระบบพัฒนาพฤตินิสัยได้นี้ จำนวน 10,000 ราย จาก 50,000 ของผู้กระทำความผิดที่อยู่ในระบบของราชทัณฑ์ ที่ผ่านการคัดกรอง คัดแยก เพื่อเข้าโครงการ ทั้งนี้ หากทัณฑสถานแห่งนี้เป็นที่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุแล้ว ขณะผู้ต้องขังร้อยละ 10 - 20 ยังไม่มีจิตสำนึก ขณะผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้ามาเยี่ยมลูกหลานที่ถูกคุมขัง
นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 320,000 คน หรือเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวจากอดีต จึงทำให้การพัฒนาพฤตินิสัยเป็นไปได้ยาก หรือทำไม่ได้เลย ทำได้เพียงด้านกายภาพ ขณะที่การสร้างเรือนจำเพิ่ม หรือการขยายเรือนจำต้องใช้งบประมาณ 5 - 6 หมื่นล้านบาท และมีระยะเวลารอการดำเนินการก่อสร้าง
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า ในการดำเนินการพัฒนาพฤตินิสัยแก่ผู้ต้องขังนั้น นอกจากคัดผู้ต้องขังเข้าโครงการพัฒนาพฤตินิสัยแล้ว เราต้องคัดแยกผู้ต้องขังส่งให้ภาคเอกชนที่เป็นพันธกิจเรือนจำ เพื่อฝึกอาชีพ ทักษะ ร่วมไปถึงการพัฒนาพฤตินิสัยและปรับทัศนคติ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นผลจากข้อจำกัดขนาดของเรือนจำที่พื้นที่จำกัด และให้อธิบดีจัดทำหลักสูตรในการพัฒนาเจ้าหน้าที่ภายในเรือนจำ
ด้าน นายอัครินทร์ ปูลี อายุ 31 ปี นักเรียนวิวัฒน์พลเมืองราชทัณฑ์ ซึ่งพ้นโทษจากทัณฑสถานนี้มากว่า 3 ปีแล้ว ได้เล่าให้ พล.อ.ไพบูลย์ ฟังระหว่างการเยี่ยมชมชีวิตหลังพ้นโทษของนักเรียนวิวัฒน์พลเมืองราชทัณฑ์ ว่า ตนเองถูกตัดสินกระทำความผิดข้อหาชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายพิพากษาลงโทษจำคุก 10 ปี แต่ได้รับการอภัยโทษจนเหลือ 8 ปี 4 เดือน ซึ่งก่อนที่จะมีการปล่อยตัวได้รับการอบรมจากมูลนิธิพันธกิจเรือนจำคริสเตียน จึงทำให้วันนี้มีอาชีพที่มั่นคงและชีวิตที่ดี โดยช่วงหนึ่ง พล.อ.ไพบูลย์ ได้สอบถามถึงลักษณะผู้ต้องขังแยกนิสัยได้กี่ประเภทนั้น นายอัครินทร์ กล่าวว่า มี 2 ประเภท คือ 1.คนที่นิสัยไม่ดีกลับตัวไม่ได้แน่นอนประมาณ 10 เปอร์เซนต์ และ 2.ผู้ต้องขังจำนวน 90 เปอร์เซ็นต์ คือคนที่อยากกลับตัวและได้รับโอกาสจากสังคม รวมทั้งคนที่อยากกลับตัวแต่ไม่ได้รับโอกาสจากสังคม
ดังนั้น ตนเองจึงอยากให้มูลนิธิฯ ได้มีส่วนร่วมในการฝึกอบรมให้กับนักเรียนวิวัฒน์พลเมืองราชทัณฑ์ เพื่อเป็นตัวอย่างของอดีตผู้ต้องขังที่สามารถประสบความสำเร็จได้ ซึ่งจะสามารถสร้างกำลังใจให้อยากลับตัวเป็นคนดีคืนสู่สังคม
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า มอบหมายให้ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และ นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้คนจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ สร้างปัญหากระทบกับคนอีก 90 เปอร์เซนต์ ไม่สามารถปรับพฤตินิสัยเป็นคนดีได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี