ดินเค็มในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นปัญหาใหญ่ของพี่น้องเกษตรกร เนื่องจากดินเค็มส่งผลกระทบต่อการปลูกพืชผลทางการเกษตร ทั้งด้านการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืชค่อนข้างต่ำ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ทางการเกษตรสูงสุดในประเทศ คือมีเนื้อที่เพาะปลูกสูงถึง 60 ล้านไร่ แต่เป็นภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวของผลผลิตด้านการเกษตรต่ำสุด ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาดินเค็ม ซึ่งมีพื้นที่ดินเค็มถึง 17.8 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 29% ของพื้นที่เพาะปลูกของภาค นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นดินเค็มได้อีกกว่า 19.4 ล้านไร่
นายอภิชาต จงสกุล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ปัญหาดินเค็มหากไม่มีการควบคุมที่ดี ก็จะก่อให้เกิดผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตร รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงได้ ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ดินเค็มมากที่สุดของประเทศ กว่า 17 ล้านไร่ กระจายอยู่ตามแหล่งต่างๆ เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศตามธรรมชาติแต่เดิมภาคตะวันออกเฉียงเหนือคงเป็นพื้นที่ทะเลเก่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศเกิดการยกตัวของพื้นที่ขึ้นมาเป็นที่ราบสูง ก็ทำให้เกลือจมอยู่ชั้นใต้ดินกลายโดยเกลือมหาศาลอยู่ข้างใต้ดิน ซึ่งปกติถ้าพื้นที่ข้างบนมีสภาพเป็นป่าเกลือเหล่านั้นก็ไม่ค่อยขึ้นมาส่งผลกระทบมากนัก แต่พอเปลี่ยนสภาพจากป่าเป็นพื้นที่โล่ง น้ำใต้ดินก็จะละลายเอาเกลือขึ้นมาทำให้เกิดการแพร่กระจายของดินเค็ม ที่กล่าวมาเป็นการเกิดดินเค็มตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ดินเค็มยังเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ที่มีการสูบน้ำขึ้นมาทำเกลือสินเธาว์ แล้วปล่อยให้น้ำไหลลงสู่แหล่งน้ำลำธาร รวมไปถึงการตัดไม้ทำลายป่า ก็เป็นตัวเร่งการแพร่กระจายของปัญหาดินเค็มอีกทางหนึ่ง
โดยดินเค็มสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ดินเค็มน้อย ดินเค็มปานกลาง และดินเค็มจัด ซึ่งดินเค็มจัดนี้เองที่เป็นปัญหาใหญ่เพราะพื้นที่เหล่านี้จะปรากฏเห็นคราบเกลือบนผิวดินชัดเจน จะไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังมีพื้นที่ที่มีศักยภาพที่จะแพร่กระจายดินเค็มได้อีกเกือบ 20 ล้านไร่ จึงถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องดำเนินการแก้ไขไม่เช่นนั้นจะเกิดผลกระทบตามมาอีกมากมาย
กรมพัฒนาที่ดิน ได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 ที่รับผิดชอบพื้นที่ 8 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบด้วยจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี มหาสารคาม หนองคาย กาฬสินธุ์ สกลนคร หนองบัวลำภู และบึงกาฬ ดำเนินการแก้ปัญหาดินเค็มในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่เดิมการดำเนินการกรมพัฒนาที่ดินจะดำเนินการหน่วยงานเดียว ก็จะดำเนินการได้ไม่มากนัก แต่มาระยะหลังจะมุ่งเน้นการแก้ปัญหาดินเค็มแบบบูรณาการ โดยการร่วมมือกับหน่วยงานราชการต่างๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และที่ขาดไม่ได้เพราะมีความสำคัญที่สุดคือเกษตรกรเจ้าของพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยั่งยืนมากขึ้น
การแก้ปัญหาดินเค็มรูปแบบที่ง่ายที่สุดคือการใช้น้ำล้างเกลือออกไป แต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำก็เป็นปัญหาใหญ่ไม่แพ้ปัญหาดินเค็ม ดังนั้นการล้างเกลือจึงต้องรอช่วงฤดูฝนใช้น้ำฝนล้างโดยวิธีธรรมชาติ แต่พอถึงช่วงฤดูแล้งปัญหาก็วนกลับมาอีก ฉะนั้นกรมพัฒนาที่ดินจึงมีแนวทางการแก้ปัญหาดินเค็มอย่างเป็นระบบ สำหรับพื้นที่ดินเค็มจัดที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้จะเร่งฟื้นฟูด้วยการปลูกไม้ยืนต้นทนเค็มบนคันนา อย่าง กระถินออสเตรเลีย เพื่อดึงน้ำใต้ดินให้ลดต่ำลงเกลือจะได้ไม่ขึ้นมาบนชั้นผิวดิน ทำคูคลองระบายน้ำเพื่อชะลอเกลือออกจากผิวดินและควบคุมระดับน้ำใต้ดินไม่ให้อยู่ใกล้ผิวดิน ส่วนพื้นที่ดินเค็มน้อยและปานกลางนั้นส่วนใหญ่เป็นนาข้าวจะใช้วิธีล้างดินเค็มด้วยน้ำฝน คือขังน้ำฝนไว้ในนาให้ซึมลงใต้ดินจนอิ่มตัวแล้วระบายน้ำทิ้งประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วจึงไถพรวนและเพิ่มอินทรียวัตถุให้ดิน เช่น ปุ๋ยคอก แกลบ หรือพืชปุ๋ยสดอย่างโสนอัฟริกันและปอเทือง เพื่อให้ดินอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ส่วนพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่กระจายดินเค็มนั้นจะจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำและปลูกไม้ยืนต้น เพื่อป้องกันการเพิ่มเติมระดับน้ำใต้ดินเค็มบนพื้นที่รับน้ำ
อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำงานแบบบูรณาการทำให้เกิดประสิทธิภาพและผลสำเร็จชัดเจนยิ่งขึ้น คือเมื่อกรมพัฒนาที่ดินเข้าไปแนะนำเกษตรกรในการแก้ไขปัญหาดินเค็มไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงบำรุงดิน ปรับรูปแปลงนาทำคันดิน ทางหน่วยงานราชการอย่างกรมการข้าวก็เข้ามาแนะนำพันธุ์ข้าวที่สามารถขึ้นได้ดีในพื้นที่ดินเค็ม อบต.ก็เข้ามาสนับสนุนการรวมกลุ่มเกษตรกรให้เข้มแข็งขึ้น ภาคเอกชน อย่าง บริษัท SCG ก็มาส่งเสริมการปลูกยูคาลิปตัสบนคันนา แล้วรับซื้อคืนไม้ยูคาลิปตัสเพื่อนำไปทำเยื่อกระดาษ ผลปรากฏว่านอกจากเกษตรกรจะสามารถทำการปลูกข้าวได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 30 ถัง/ไร่ เป็น 50 ถัง/ไร่ แม้ผลผลิตไม่ได้มากมายแต่เพียงพอสำหรับการบริโภคในครัวเรือน เกษตรกรยังมีรายได้เสริมจากการขายไม้ยูคาลิปตัส ที่สำคัญพื้นที่ไม่ถูกปล่อยทิ้งร้างซึ่งอาจจะทำให้ปัญหาดินเค็มแพร่กระจายมากขึ้นไปจากเดิม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี