สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 กรมพัฒนาที่ดิน ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ 8 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบด้วยจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี มหาสารคาม หนองคาย กาฬสินธุ์ สกลนคร หนองบัวลำภู และบึงกาฬ ซึ่งปัญหาดินส่วนใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกพืชผลของเกษตรกรจะเป็นเรื่องของดินเค็ม
นายภิญโญ สุวรรณชนะ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 กล่าวว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณดินเค็มค่อนข้างมาก ประมาณ 17.8 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 29% ของพื้นที่เพาะปลูกของภาค ดังนั้นปัญหาดินเค็ม จึงถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดข้อจำกัดในการทำการเกษตรของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีการแบ่งสภาพปัญหาดินเค็มออกเป็น 3 ระดับ ประกอบด้วย ดินเค็มน้อยคือวัดระดับคราบเกลือบนผิวดินต่ำกว่า 10% ส่วนดินเค็มปานกลาง จะมีระดับคราบเกลืออยู่ระหว่าง 10-50% และถ้าเกิน 50% ขึ้นไปจะอยู่ในระดับดินเค็มจัด ซึ่งถ้าไม่มีการหยุดยั้งดินเค็มจะทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังแหล่งอื่นอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้พื้นที่ดินเค็มน้อยกลายเป็นดินเค็มปานกลาง โดยเฉพาะพื้นที่ดินเค็มปานกลางที่อยู่ในระดับ 30-45% ถ้าไม่รีบหยุดยั้งก็จะพัฒนากลายไปสู่ดินเค็มจัดต่อไปในอนาคต การแก้ปัญหาก็ยุ่งยากและมีความซับซ้อนมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ การใช้ประโยชน์ที่ดินทางการเกษตรก็จะลดน้อยลงไป เนื่องจากข้อจำกัด พืชเจริญเติบโตช้าลงหรืออาจไม่เจริญเติบโตเลยในบางพื้นที่ ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาอื่นมากมาย ที่สำคัญคือการละทิ้งที่ดินทำกินออกไปใช้แรงงานต่างถิ่นมากขึ้น
สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงได้พยายามดำเนินการหยุดยั้งปัญหาดินเค็มไม่ให้แพร่กระจายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยใช้กระบวนการและเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินทุกรูปแบบเข้าไปจัดการพื้นที่ดินเค็ม เริ่มตั้งแต่การควบคุมการแพร่กระจายของดินเค็มให้อยู่ในวงจำกัดไม่ให้แพร่กระจายไปที่อื่น ด้วยการควบคุมระดับน้ำใต้ดินเค็ม โดยปลูกไม้ยืนต้นเพื่อลดระดับน้ำใต้ดินไม่ให้น้ำที่เค็มขึ้นสู่ชั้นผิวดิน อีกอย่างคือการปลูกพืชปรับปรุงดิน โดยเฉพาะพืชปุ๋ยสดอย่างปอเทืองและโสนอัฟริกัน แล้วไถกลบเพื่อเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุให้แก่ดิน เป็นการเพิ่มช่องว่างระหว่างเม็ดดินให้มากขึ้น ความเค็มที่ผิวดินจะได้ลงสู่ชั้นใต้ดินได้ดีขึ้น ควบคู่กับการจัดรูปแปลงนา ส่งเสริมการใช้พันธุ์ข้าวที่สามารถเจริญเติบโตในพื้นที่ดินเค็มได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ผลการดำเนินการปรับปรุงและแก้ปัญหาพื้นที่ดินเค็มในหลายจังหวัด ทั้งขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ อุดรธานี ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ทุ่งเมืองเพีย ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหายับยั้งดินเค็ม และสามารถพลิกฟื้นพื้นที่กลับมาใช้ประโยชน์ในการปลูกข้าวพันธุ์ดีได้อีกครั้ง จนต้องยกให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการจัดการแก้ปัญหาดินเค็มที่สามารถนำไปต่อยอดขยายผลสู่พื้นที่ดินเค็มที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายภิญโญกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาดินเค็มต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขจึงจะเห็นผลสัมฤทธิ์ และจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการหลายอย่างเข้ามามีส่วนร่วม ที่ผ่านมาสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 ก็ได้ระดมองค์ความรู้และเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินทุกรูปแบบเข้าไปจัดการในพื้นที่ปัญหาดินเค็มเหล่านั้น โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนคือศูนย์เรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินของหมอดินอาสาประจำตำบล หมอดินอาสาประจำอำเภอ เพื่อให้เป็นจุดเรียนรู้ของเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง และต่อมาก็มีการขยายผลสร้างเครือข่าย บูรณการความร่วมมือในระดับที่ใหญ่ขึ้นคือ ร่วมมือกับภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้กระบวนการแก้ไขปัญหาเป็นองค์รวมมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดประสิทธิภาพและความยั่งยืนในที่สุด
ดังนั้น อยากฝากถึงเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ประสบปัญหาดินเค็ม ขอให้เชื่อมั่นตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดินที่ได้เข้าไปส่งเสริมในพื้นที่ของท่าน เพราะกรมพัฒนาที่ดินมีจุดประสงค์ที่จะช่วยเหลือท่านให้สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประกอบอาชีพเกษตรได้อย่างยั่งยืน ที่สำคัญท่านจะได้ไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด เพื่อออกไปหารายได้ต่างถิ่นอีกต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี