หลวงปู่จองเวรอุ้ม‘ธัมมชโย’
แจ้งจับเรียบ
2กรรมการมส.-โฆษกพศ.
จวกมั่วอ้างมติไม่‘ปาราชิก’
ดีเอสไอไล่บี้เงินโกงสหกรณ์
ธรรมกายนัดคืน900ล.16มีค.
พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ยังคงเดินหน้าขอให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมของ พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และกลุ่มผู้สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน หลวงปู่พุทธะอิสระ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่าน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีอัยการมีคำสั่งถอนฟ้องคดี พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย เมื่อปี พ.ศ.2549
หลวงปู่ข้องใจอสส.ไม่ฟ้องธัมมชโย
โดย พระพุทธะอิสระ กล่าวว่า คดีดังกล่าวพนักงานอัยการชุดแรกได้มีคำสั่งฟ้อง พระธัมมชโยในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเอาทรัพย์สินไปเป็นของตนโดยทุจริต แต่เมื่อศาลจะมีคำพิพากษา พระธัมมชโยได้โอนทรัพย์สินทั้งหมดคืนให้กับวัดพระธรรมกาย ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงเปลี่ยนเป็นรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดในขณะนั้น กลับมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีดังกล่าว แต่พนักงานอัยการไม่ยอมถอนฟ้อง นายพชร จึงสั่งเปลี่ยนตัวพนักงานอัยการและให้พนักงานอัยการชุดใหม่ดำเนินการถอนฟ้องคดี โดยอ้างว่า พระธัมมชโย ได้ปฏิบัติตามพระลิขิตของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแล้ว จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเรียกสำนวนหลักฐานมาพิจารณาว่า การมีคำสั่งฟ้องของอัยการชุดแรกมีเหตุผลอย่างไร และการถอนฟ้องมีเหตุผลอย่างไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากในการพิจารณาของมหาเถรสมาคม (มส.) อ้างว่าเหตุที่ไม่ดำเนินการกับพระธัมมชโยก็เพราะอัยการมีคำสั่งถอนฟ้อง
ลั่นตัดสินธัมมชโยผิดก็จบ
พระพุทธอิสระ กล่าวว่า จะติดตามผลการประชุม มส. ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ ในประเด็นเกี่ยวกับพระธัมมชโย ซึ่งหากที่ประชุม มส. เอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ พระธัมมชโยผิด พุทธะอิสระก็จะจบแค่นี้ แต่ถ้าเอาธรรมกายเป็นใหญ่ เรื่องก็จะยาวเป็นมหากาพย์ คงจะได้มีการจัดสังฆทานชุดใหญ่ให้ มส. พุทธอิสระจะไปเยี่ยมทุกวัน แต่ถ้าการประชุม มส. ไมมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้า ก็ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่เพิกเฉยไม่ปฏิบัติ เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ผิดประมวลกฎหมายอาญา 157
อัดมหาเถรฯ.ไม่เคยโปร่งใส
“ที่ผ่าน มส. ไม่เคยทำอะไรที่โปร่งใส อย่างกรณี เจ้าคุณเสนาะ สตง.ชี้มูลว่ามีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ 67 ล้านบาท มีการเอาผิดในทางกฎหมายแต่ในทางพระธรรมวินัยต้องถือว่าปาราชิก แต่ มส. ก็กลับทำแค่ปรับลดตำแหน่งจนทุกวันนี้ นายเสนาะ ก็ยังเป็นพระ ดังนั้นที่มาวันนี้จึงอยากทำให้เห็นว่า วงการสงฆ์ต้องยึดหลักพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ เมื่อมีพระลิขิตแล้วว่าพระธรรมชโยเป็นปาราชิก มส. ต้องดำเนินการไม่ใช่มาอ้างว่ายึดคำสั่งอัยการเป็นใหญ่” พระพุทธอิสระ กล่าว
ผู้ตรวจฯรับลูกเร่งหารือ
ขณะที่ นายรักษเกชา กล่าวว่า จะรีบนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาโดยเร็ว ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจในการขอดูเอกสารหลักฐานกรณีที่อัยการมีคำสั่งฟ้องและถอนฟ้องในภายหลัง หากไม่ได้รับความร่วมมือก็มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนเมื่อพิจารณาหลักฐานแล้ว จะสั่งอัยการให้ฟ้องคดีได้หรือไม่ คงต้องดูรายละเอียดก่อน
แจ้งจับผู้แถลงอุ้มธัมมชโย
ต่อมา เวลา 14.00 น. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พระพุทธะอิสระ เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ปรีชา ศรีอุดม พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ พระพรหมโมลี (สุชาติ ธัมมรตโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระพรหมเมธี (จำนง ธัมมจารี) กรรมการและโฆษก มส. และ นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในความผิดฐานใส่ความสงฆ์หรือคณะสงฆ์ อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือแตกแยก ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา44 (ตรี) และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พระพรหมเมธี และนายสมชาย แถลงข่าวโดยอ้างมติที่ประชุมมส.ว่า พระธัมมชโย ไม่ต้องปาราชิก ก่อนที่พศ.จะออกมาชี้แจงตอบโต้ว่า มส.ไม่เคยมีการลงมติดังกล่าว โดยหลวงปู่พุทธอิสระได้นำเอกสารและเทปเสียงมอบไว้เป็นหลักฐาน
ลั่นต้องแสดงความรับผิดชอบ
“งานนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ ซึ่งก็คือคนที่ออกมาให้สัมภาษณ์และมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวว่าลงมติไปแล้ว และคนที่คุยกับฉัน คือ พระพรหมโมลี ที่ยืนยันกับฉันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า มีการลงมติไปแล้ว ทั้ง 3 ท่านนี้เป็นบุคคลที่ถือว่า ผิดอาญาในฐานะที่ตัวเองเป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย ตามมาตรา 157 และละเมิดกฎหมายมหาเถรสมาคม พรบ.คณะสงฆ์ ปี 2005 ว่าด้วยเรื่องการใส่ร้ายคณะสงฆ์และมหาเถรสมาคม ฉันจึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษกับทั้ง 3 ท่านซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหมดว่า ต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรบ้าง ไม่ใช่เงียบหายไปแล้วก็ทำให้มหาเถรสมาคม กลายเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม” หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าว
DSIตามติดการเงินสหกรณ์
วันเดียวกัน พ.ต.อ.ดุษฎีอารยวุฒิรองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดตู้เซฟของบริษัท เอส.ดับบลิว.โฮลดิ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย)จำกัด ที่มี นายสถาพร วัฒนาศิรินุกุล ซึ่งเคยบวชอยู่ในวัดพระธรรมกาย เป็นกรรมการบริษัทว่า พบทรัพย์สินเป็นโฉนดที่ดิน รวมถึงเอกสารที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น พร้อมกันนี้ได้เรียก พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล หัวหน้าพนักงานสอบสวนชุดตรวจสอบเส้นทางการเงินของวัดพระธรรมกายเข้าพบ เพื่อวางแผนขยายผลความเชื่อมโยงการโอนเงินไปยังบุคคลอื่นโดยเฉพาะช่วงก่อนที่ดีเอสไอและปปง.จะเข้าตรวจค้นเอกสารที่สหกรณ์เมื่อปี 2556
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความเชื่อมโยงของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กับสหกรณ์อื่นๆ ที่มีนายศุภชัยเกี่ยวข้องทั้งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วัดพระธรรมกายหลังพบความเชื่อมโยงเส้นทางการเงินระหว่างกัน
พบปล่อยกู้ศิษย์-โอนให้พระ
จากการสืบสวนพบว่า นายศุภชัย ยังมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วัดพระธรรมกาย โดยสหกรณ์ดังกล่าว ได้รับเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่ตั้งขึ้นเพื่อระดมเงินฝากจากสมาชิก โดยจะนำเงินไปปล่อยกู้ให้ผู้ที่เข้ามาทำบุญที่วัดพระธรรมกายในอัตราดอกเบี้ยต่ำ มีลูกหนี้กว่า500 ราย วงเงินปล่อยกู้กว่า 230 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังพบการสั่งจ่ายเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ไปที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี 3 ครั้ง คือในปี 2552 ,2553 และปี 2555 รวมเป็นเงิน 46.5 ล้านบาท และพบการโอนเงินให้กับพระวัดธรรมกายหลายรูป อาทิ พระธัมมชโย ได้รับเงิน 225 ล้านบาท พระวิรัช 100 ล้านบาท พระปลัดวิจารณ์ 119 ล้านบาท พระมนตรี 100 ล้านบาท และนายสถาพร 127 ล้านบาท
ตั้งกก.สอบพงส.ชุดเก่า
ทั้งนี้ ดีเอสไอ ได้ตั้งกรรมการสอบสวน พนักงานสอบสวนคดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นชุดเก่า ที่ถูกร้องเรียนกรณี ดำเนินการสอบสวนคดี ล่าช้าและสั่งไม่ฟ้องผู้เกี่ยวข้อง 2 รายสำคัญ ที่ได้รับเงินจากนายศุภชัยถึง 2,566 ล้านบาท คือ นายจิรเดช วรเพียงกุล อดีตผู้ช่วย รมว.คลัง และ นายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ นักธุรกิจ อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวอัยการได้ตีกลับสำนวนให้ดีเอสไอสอบสวนใหม่และหากดีเอสไอยังสั่งไม่ฟ้อง แต่อัยการพิจารณาแล้วเห็นควรสั่งฟ้องก็สามารถสั่งฟ้องเองได้
ธรรมกายพร้อมคืนเงิน933ล.
ส่วนในกรณีที่ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ได้นำเงิน 933 ล้านบาท ที่ได้จากการยักยอก จ่ายเป็นเช็คให้วัดพระธรรมกาย, พระธัมมชโย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทางสหกรณ์ฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้วัดพระธรรมกายคืนเงินแก่สหกรณ์ฯ นั้น
นายเผด็จ มุ่งธัญญา ประธานกรรมการดำเนินการ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กล่าวว่า ในเบื้องต้น ทางสหกรณ์ฯ ได้ทำการฟ้องร้อง 2 คดี คือ คดีแรกขอให้วัดพระธรรมกายคืนเงินที่มีการบริจาค 814 ล้าน โดยมีการฟ้องร้องจำเลยซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้อง 3 คน คือ นายศุภชัย, พระธรรมชโย และวัดพระธรรมกาย ที่ศาลธัญบุรี โดยมีการไกล่เกลี่ยเบื้องต้น ในวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา แต่มีปัญหาเรื่องเอกสารบางประการ จึงขอเลื่อนไปเป็น 16 มีนาคมนี้ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น ตัวแทนจากวัดพระธรรมกาย ได้มีการประสานว่า ทางวัดจะคืนเงินในคดีนี้ให้ทั้งหมด โดยจะนัดวันเวลาและสถานที่อีกครั้ง ทั้งนี้ เชื่อว่าจะมีการคืนเงินที่ศาลธัญบุรีในวันไกล่เกลี่ย
นายเผด็จ กล่าวต่อไปว่า ส่วนอีกคดีหนึ่ง เป็นการฟ้องร้อง พระปลัดวิจารณ์ พระลูกวัดพระธรรมกาย จำนวน 119 ล้านที่ศาลแพ่งกรุงเทพ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาเช่นกัน คาดว่า ไม่น่ามีปัญหา เพราะได้รับการยืนยันจากตัวแทนวัดพระธรรมกาย ว่า จะคืนเงินในส่วนนี้ให้ทั้งหมด
นัดชี้แจงแผนฟื้นฟู27กพ.
ด้าน นายโอภาส กลั่นบุศย์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้ประสานให้สหกรณ์เจ้าหนี้ผู้ฝากเงินกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น, ผู้แทนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ และผู้แทนกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ รวมประมาณ 200 คน มาประชุมร่วมกันที่ สำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ ถนนพิชัย เขตดุสิต กทม. ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. เพื่อชี้แจงความก้าวหน้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่ยื่นต่อศาลล้มละลายกลาง และแนวทางการขับเคลื่อนแผนฟื้นฟู, กระบวนการฟื้นฟู รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้สหกรณ์เจ้าหนี้ผู้ฝากเงินมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการร่วมกันด้วย
ส.ศิวรักษ์เสนอยุบมส.ทิ้ง
นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักเขียนชื่อดัง กล่าวถึงกรณีการประชุม มส.ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ว่า ไม่ทราบว่าผลการประชุมจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ท้าทายให้ มส. มีมติให้พระธัมมชโย เป็นปาราชิก ถ้ากล้าตนจะบุกไปกราบถึงวัด ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าพระธัมชโย ปาราชิกชัดเจนแล้ว คดีเคยถึงอัยการด้วยซ้ำ การระบุว่า มีการคืนทรัพย์สินแล้ว เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า ควรจะยุบ มส. การปกครองสงฆ์ไม่จำเป็นต้องมีองค์กรกลาง แต่ควรปกครองด้วยพระธรรมวินัย โดยให้ครูอาจารย์ปกครองลูกศิษย์ เหมือนอย่างประเทศศรีลังกา และพม่า พร้อมฝากไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ว่า ถ้ามีความกล้าหาญพอ ก็ควรจะยุบ มส. และเห็นว่า ควรเอาศาสนา แยก ออกจากรัฐ ให้ชัดเจน การออกกฎหมายควบคุมสงฆ์ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะควรให้การศึกษาที่ถูกต้องก่อน
ประชุมมส.ไร้วาระธัมมชโย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม มส. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ จะไม่มีการนำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย เข้าหารือในที่ประชุม จะมีเพียงแค่การรับรองมติการประชุมของ มส. เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี