ภายหลังมีสัญญาณหลายปัจจัยที่ชี้ให้เห็นว่าปีนี้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งเข้าขั้นวิกฤติ โดยล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกมาคาดการณ์ว่าปี’58 หน้าฝนจะล่าช้าไปประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน ซึ่งอาจจะส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกนาปรังเสียหายรุนแรงรวม 1.33 แสนไร่ แบ่งเป็นลุ่มน้ำเจ้าพระยา 9.5 หมื่นไร่ใน 12 จังหวัด และในลุ่มน้ำแม่กลองอีก 3.8 หมื่นไร่ จากวิกฤตการณ์ดังกล่าวรัฐบาลได้เรียกทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อถกหามาตรการการป้องกันและรับมือสถานการณ์ภัยแล้งภายใต้แผนบูรณาการอย่างทันท่วงที
นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ ด้านการเกษตรว่า จากการประเมินสถานการณ์ในปี 2558 จากสถิติของพื้นที่ที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน(ภัยแล้ง) และปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง ปี 2558 พบว่าปริมาณน้อยกว่าปี 2557 ประมาณ 5,432 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงคาดว่ากุมภาพันธ์นี้ จะมีจังหวัดที่ประสบภัยแล้งเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัจจุบันมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เดือน ต.ค. 2557-27 ม.ค. 2558 รวมทั้งสิ้น 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ สกลนคร บุรีรัมย์ ลพบุรี มหาสารคาม สุโขทัย และนครสวรรค์ รวม 30 อําเภอ 200 ตําบล 2,091 หมู่บ้าน
ทั้งนี้ จากวิกฤตการณ์ดังกล่าว ได้มอบหมายให้กรมชลประทานวางแผนการใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศแล้ว ยืนยันว่าน้ำมีเพียงพอจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม 2558 นี้ แม้ว่าจะไม่มีฝนตกเลยจนถึงช่วงเวลาดังกล่าว และยังได้ขอความร่วมมือโดยประกาศแจ้งงดขอความร่วมมืองดการทำนาปรังในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องของลุ่มน้ำเจ้าพระยา กับลุ่มแม่น้ำแม่กลอง
อย่างไรก็ดี เรื่องของวิกฤติภัยแล้งมันจำเป็นต้องการบรรเทาความเดือดร้อน โดยเฉพาะเรื่องของรายได้ของพี่น้องเกษตรกรซึ่งคงหายไปบ้าง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าวของเกษตรกรอย่างมาก ดังนั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา จึงเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม
และองค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นชอบโครงการเรื่องของสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรของชุมชนในฤดูแล้งขึ้น ซึ่งโครงการนี้เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่แล้งซ้ำซากต้องเป็นเรื่องของการบริหารการจัดการของชุมชนใน 58 จังหวัด 3,051 ตำบล ซึ่งตรงนี้จะมีการคัดกรอง ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้กรมพัฒนาที่ดินเป็นคนดูข้อมูลร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยพุ่งเป้าที่พื้นที่แล้งซ้ำซากคงจะเป็นพื้นที่ที่มีการประกาศภัยพิบัติหรือภัยแล้งมาติดต่อต่อเนื่องกันมา 5 ปี ตรงนี้เป็นเป้าหมายแรกของการที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งโครงการก็จะมีการสนับสนุนงบประมาณลงไปตำบลละไม่เกินหนึ่งล้านบาท เพื่อให้ชุมชนเป็นผู้คิดความต้องการขึ้นมาเองว่าโครงการที่ตัวเองต้องการที่จะทำในช่วงแล้งนี้คือโครงการอะไร ที่จะใช้เงินดังกล่าว
โดยลักษณะของโครงการเบื้องต้นเป็น 4 ประเภทคือ 1.การจัดการแหล่งน้ำในเพื่อการเกษตรชุมชนอย่างเช่นการขุดลอกลำคลอง ระบบชลประทานในไร่นา หรือเรื่องระบบท่อ เรื่องการผลิตทางการเกษตรหรือการแปรรูป การปรับปรุงโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อเพิ่ม 4 ภาค อย่างเช่น ซ่อมแซมโรงเก็บมูลสัตว์ หรือเรื่องการผลิตปุ๋ยชีวภาพหรือการจัดการเพื่อลดผลเสียผลผลิตการเกษตร ลักษณะงานเหล่านี้อยู่ในบทบาทที่ทาง ศบ.กต. หรือศูนย์บริการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำอยู่แล้ว และก็มีเกษตรตำบลเป็นผู้รับผิดชอบที่ดูแลร่วมกันอยู่ ก็ลงไปทำความเข้าใจล่วงหน้าตั้งแต่ต้นเดือน
ขณะนี้โครงการต่างๆ เริ่มมีการเขียน ยกร่างขึ้นมาแล้ว พร้อมส่วนหนึ่งที่จะเสนอไปทางคณะกรรมการระดับอำเภอ ที่มีนายอำเภอเป็นประธานคัดกรอง ถ้าผ่านคณะกรรมการดังกล่าว ก็เสนอไปที่จังหวัดเพราะในจังหวัดอาจจะมีหลายอำเภอ หลายตำบลดูอีกครั้ง และก็จะส่งเข้ามาทางกระทรวง เร่งส่งไปที่สำนักงบประมาณเพื่อขออนุมัติงบ ขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้วางแผนให้มีตำบลนำร่อง 541 ตำบล ที่จะเสนอแผนงานเพื่อของบประมาณช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ที่เหลือจะเสนอให้ครบทั้งหมดภายในเดือนมีนาคม ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้เร่งรัดให้ทุกหน่วยงานแจ้งการดำเนินการลงไปขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม เพราะงบประมาณ 50% จะเป็นงบฯ จ้างงานที่ช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ทันที ซึ่งน่าจะทันช่วงภัยแล้งน่าจะหนักหนาที่สุดเดือนมีนาคม-เมษายน แต่โครงการนี้จะไปถึงมิถุนายนนี้
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯยังได้มอบหมายให้กรมฝนหลวงจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วแล้วที่จ.นครสวรรค์ และแผนปฏิบัติการประจำปีจะเริ่ม 1 มีนาคมนี้ โดยในภาคเหนือจะจัดตั้ง 2 จุด คือที่จ.พิษณุโลก และ จ.เชียงใหม่ และเตรียมที่จะร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ปัญหาหมอกควันจากการเผาป่าและการเผาในไร่นา โดยจะเร่งทำความเข้าใจกับชาวบ้านไม่ให้มีการเผาพื้นที่เกษตร และให้กรม ฝนหลวงปฏิบัติการเพื่อลดความเข้มข้นของหมอกควันอีกทางหนึ่งด้วย นายชวลิต กล่าว
นายชวลิตกล่าวถึงแผนการจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทานด้วยว่า โดยให้ความสำคัญในเรื่องของน้ำอุปโภคบริโภคซึ่งจะต้องใช้ตลอดฤดูแล้ง แม้กระทั่งในช่วงต้นฤดูฝน ในบางครั้งฝนอาจจะมาช้าหรือขาดช่วง รวมถึงการเตรียมน้ำในฤดูกาลเพาะปลูก การเพาะปลูกต้องไม่มีความเสียหาย ถ้าบริเวณไหนที่มีปริมาณน้ำเหลือจะนำมาสนับสนุนในฤดูแล้ง
“ปัจจุบัน มีน้ำใช้ 19,740 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้น้ำตามแผนวันละ 66 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ยังมีมาตรการควบคุมความเค็มของน้ำตลอดฤดูแล้งในเขตพื้นที่ควบคุมบริเวณแม่น้ำทุกสายที่ไหลลงอ่าวไทย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน อำเภอสามพราน แม่น้ำแม่กลอง คลองดำเนินสะดวก แม่น้ำบางปะกง และอำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี” นายชวลิต กล่าว
นอกจากนี้ ได้มีมาตรการป้องกัน โดยการวิเคราะห์และรายงานสถานการณ์ เพื่อประเมินความรุนแรงของผลกระทบ ทั้งใน
ระดับจังหวัด ลุ่มน้ำ และชุมชน นำมาจัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงและการเกษตรกรรม รวมทั้งชี้แจงเพื่อสร้างความรู้ วิธีการปรับตัว เพื่อลดผลกระทบแก่เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำและนอกเขตชลประทานตลอดจนวางแผนการเพาะปลูกในฤดูแล้งให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำและงดส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปรัง ขุดลอกคูคลองนอกเขต รวมทั้งได้จัดทำโครงการรณรงค์การช่วยใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าเพื่อถวายปวงประชาถวายพ่อของแผ่นดิน เพื่อเผยแพร่แนวทางบริหารจัดการน้ำในการปลูกพืชชนิดต่างๆแก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกษตรกรนำไปปรับใช้ในไร่นาของตนเองและสามารถใช้น้ำทุกหยดอย่างรู้คุณค่าตลอดปี 2558 นี้ อีกด้วย จึงเชื่อมั่นว่าจากมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้สามารถฝ่าฝันวิกฤติปัญหาภัยแล้งในปีนี้ไปได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี