มส.ปิดคดี”ธัมมชโย”
ห้ามรื้อฟื้น!
ถ้าฟ้องต้อง”ปม”ใหม่
ไล่ไปร้องที่เจ้าคณะจว.ปทุมฯ
มหาเถรฯไร้มติชี้ขาดปาราชิก
ดีเอสไอจัด5ชุดลุยสางสหกรณ์
สมาชิกวอนธรรมกายรีบคืนเงิน
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จ.นครปฐม มีการประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) โดยวาระที่ถูกจับตามองคือ เรื่องการรับรองมติ หรือมีมติอย่างหนึ่งอย่างใด กรณีพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จะปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อปี 2542 หรือไม่ โดยมีกำลังทหาร และตำรวจรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ยันธัมมชโยยังคงสถานะเดิม
หลังการประชุม พระพรหมเมธี โฆษก มส. แถลงว่า การประชุมมีเพียงวาระรับทราบกรณีที่ ตัวแทนจาก พศ. ไปรายงานต่อคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เกี่ยวกับพระลิขิตที่มีต่อพระธัมมชโย และตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในภาพรวมเท่านั้น ไม่มีมติอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นในชั้นนี้ฐานะของพระธัมมชโยก็ยังคงสภาพตามรายงานที่ผ่านมา
ชี้คดีถึงที่สุดแล้ว-ห้ามรื้อฟื้น
ถามว่า จะมีการรื้อฟื้นมติ มส.เดิมหรือไม่ พระพรหมเมธี กล่าวว่า ในระเบียบเตือนในพระวินัยของพระสงฆ์ ถ้าเรื่องใดที่เจ้าคณะตามลำดับพิจารณาแล้วและมีมติไปแล้ว จะไปพิจารณาใหม่ทางพระวินัยกำหนดไว้เลยว่า อธิกรณ์ที่ได้พิจารณาแล้วไปรื้อฟื้น องค์คณะที่ไปรื้อฟื้นนั้นจะเป็นอาบัติ ดังนั้น เราต้องรับทราบตามรายงาน ส่วนจะไปแก้ไขอย่างไร ต้องไปแก้ที่ต้นทาง หมายถึงองค์คณะจังหวัดที่ปทุมธานี เช่น มีการตั้งเรื่องฟ้องใหม่ หากไม่มีการฟ้องใหม่ก็ต้องยึดตามมติเดิม
“ดังนั้นถ้าจะร้องเรียนพระสงฆ์อีกครั้งจะต้องมีโจทก์ร้องเป็นลายลักษณ์อักษรตามขั้นตอนใหม่อีกครั้ง และต้องเป็นคดีใหม่ อย่างกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นก็ต้องมีการร้องเรียนหรือฟ้องร้องในทางโลก” พระพรหมเมธี กล่าว
อ้างต้องไปร้องเจ้าคณะผู้ปกครอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีพระพุทธอิสระที่มีการเรียกร้อง ณ ขณะนี้ถือว่าเป็นโจทก์ได้หรือไม่ พระพรหมเมธี กล่าวว่า ยังไม่เห็นเป็นลายลักษณ์อักษร ต้องร้องไปที่เจ้าคณะผู้ปกครองตามกฎนิคหกรรม เรามีทางเข้าทางออกเป็นไปตามลำดับ ดังนั้น สถานะของพระธัมมชโย ก็ยังคงตามมติของ มส.เมื่อปี 2549 ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า แสดงว่า พระธัมมชโย ยังไม่ปาราชิก ใช่หรือไม่ พระพรหมเมธี กล่าวว่า ไม่ทราบ และที่ประชุม มส. ไม่ได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ชี้ช่องจัดการหลวงปู่อิสระ
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะมีการเชิญพระพุทธอิสระมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้หรือไม่ พระพรหมเมธี กล่าวว่า เรามีเจ้าคณะปกครองตามลำดับ เมื่อพระพุทธอิสระขึ้นอยู่กับเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ที่จะดำเนินการและรายงานเรื่องนี้มาเป็นลำดับ ส่วนจะมีการยุบ มส.ได้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับกฏหมายรองรับให้มีการยุบ เพราะ มส.ตั้งขึ้นมาตามกฎหมาย
DSIแบ่ง5ชุดสางคดียูเนียนฯ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 3 พร้อมด้วย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ เรียกประชุมคณะทำงานคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยมี นางกรรณิการ์ อัคคะพู รองประธานกรรมการดำเนินการ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น พร้อมคณะเข้าประชุมความคืบหน้าด้วย จากนั้น ในเวลา 12.00 น. พ.ต.ต.วรณัน แถลงว่า ดีเอสไอได้แบ่งการทำงานออกเป็น 5 ชุด ได้แก่ 1.ชุดติดตามร่องรอยทางการเงิน 2.ชุดแกะรอยบัญชี 3.ชุดกฎหมายตรวจสอบ พ.ร.บ.สหกรณ์และกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 4.ชุดติดตามทรัพย์สิน และ 5.เลขานุการอำนวยการทางคดีทั้งหมด
จำแนก6กลุ่มเอี่ยวรับเช็ค
ทั้งนี้ จากการตรวจเช็ค 878 ฉบับ ที่จ่ายโดยนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น สามารถแบ่งผู้เกี่ยวข้องกับเช็คที่จ่ายโดยนายศุภชัย ได้เป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มวัดธรรมกายและบุคคลที่เกี่ยวกับวัด 2.บริษัท เอส ดับบลิว โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด 3.สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี ที่เชื่อมโยงกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น 4.สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรัฐประชา ที่มี นายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ อดีตประธานสหกรณ์ยูเนี่ยนรัฐประชา และนายจิรเดช วรเพียรกุล อดีตผู้ช่วย รมว.คลัง ร่วมอยู่ด้วย 5.กลุ่มญาติธรรมและบุคคลในต่างจังหวัด กลุ่มบุคคลที่กู้เงินสหกรณ์เครดิตมงคลเศรษฐีมาทำบุญให้วัดพระธรรมกาย และ 6.กลุ่มบุคคลที่มีค่าใช้จ่ายหรือมูลหนี้ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ยังไม่ชัดเรียกสอบธัมมชโย
พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบด้านกฎหมายพบว่านายศุภชัย ผิด พ.ร.บ.สหกรณ์ และมาตรฐานทางบัญชี ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ สามารถเอาเงินออกจากบัญชีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนได้ ซึ่งต้องดูการกระทำว่าส่อไปในทางทุจริตหรือไม่ โดยขณะนี้ยังรอเอกสารทางธุรกรรมจากธนาคารให้ครบ หลังจากนั้นจะเรียกผู้เกี่ยวข้องทุกคนมาสอบปากคำ โดยสัปดาห์หน้าคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนจะมีการเรียกพระธัมมชโย เข้ามาสอบปากคำหรือไม่ต้องรอเอกสารทุกอย่างให้ครบถ้วนก่อน
สหกรณ์ฯวอนวัดคืนเงิน
วันเดียวกัน ที่สำนักงานพัฒนาถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ถนนพิชัย นายโอภาส กลั่นบุศย์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้เชิญตัวแทนสหกรณ์ เจ้าหนี้ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น มาหารือถึงแนวทางการช่วยเหลือและเยียวยา เพื่อรับทราบความคืบหน้าในการฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ซึ่งถูกโกงไปกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้นางประภัสสร พงศ์พันธุ์พิศาล กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด กล่าวตอนหนึ่งโดยเรียกร้องไปยังเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย บอกให้ลูกศิษย์ลงขันคืนเงินที่รับบริจาคไปกลับมาให้สมาชิกสหกรณ์ฯ โดยเร็วเพราะยังไม่อยากตั้งข้อกล่าวหาว่าวัดรับของโจร เพราะตอนนี้สมาชิกเดือดร้อนมาก
“วิษณุ”ขอเวลาตรวจสอบ
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคดียักยอกทรัพย์ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่เชื่อมโยงไปยังวัดพระธรรมกายว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แจ้งข้อมูลให้ตนทราบเล็กน้อย ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะติดตามเงินที่ถูกยักยอกกลับมาโดยเร็วได้หรือไม่ ต้องขอเวลา และไม่กล้าบอกว่า กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บกพร่องหรือไม่ แต่ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วย
“บิ๊กป้อม”เตือนอย่าก้าวก่ายสงฆ์
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องของพระสงฆ์นั้น ก็มี มส.จัดการอยู่แล้ว เราอย่าไปก้าวก่ายมาก อะไรที่ทำผิดกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย เอากฎหมายเป็นตัวจัดการ บ้านเมืองต้องอยู่ได้ด้วยกฎหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี