แจ้งจับคณะสงฆ์‘ปทุม’
พุทธะอิสระลุย
เช็คบิลเครือข่ายธัมมชโย
พ่วงฟ้องร้องมหาเถรฯ
ปปง.รับไม้อายัดทรัพย์
สอบที่ดินวัดธรรมกาย
วันที่ 2 มีนาคม พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบคดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งมีการนำเงินส่วนหนึ่งไปบริจาคให้กับวัดพระธรรมกายว่า ปปง. พร้อมทำตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ที่มีการแนะนำให้ ปปง. ดำเนินคดีทางแพ่งและอายัดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้รับเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลเส้นทางการเงินพบว่า มีการสั่งจ่ายเช็คไปยัง พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย 8 ฉบับ เป็นจำนวนเงินกว่า 348 ล้านบาท และสั่งจ่ายบัญชีวัดธรรมกาย 6 ฉบับ จำนวน 436 ล้านบาท และจ่ายให้พระปลัดวิจารณ์ พระลูกวัดพระธรรมกาย อีก 119 ล้านบาท
ไล่สอบที่ดินธรณีสงฆ์หรือไม่
สำหรับกรณีที่วัดพระธรรมกายอ้างว่า นำเงินที่ได้รับบริจาคไปก่อสร้างศาสนสถานในที่ธรณีสงฆ์ ซึ่งตามกฎหมาย ปปง.ไม่สามารถยึดได้นั้น พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า ปปง.จะตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับศาสนสถานดังกล่าวว่า ตั้งอยู่ที่ธรณีสงฆ์จริงหรือไม่ แต่อาจต้องใช้เวลา เพราะวัดพระธรรมกายมีพื้นที่กว้างขวาง ต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจอย่างละเอียด ก่อนนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ปปง.ไม่ได้เน้นว่าจะเป็นเครือข่ายหรือกลุ่มบุคคลใด แต่ต้องตรวจสอบทุกรายที่มีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายไม่มียกเว้น
ปลัดเกษตรฯวอนวัดรีบคืนเงิน
ด้าน นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเงินจากวัดพระธรรมกายเพื่อนำไปคืนให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ซึ่งทางวัดหรือลูกศิษย์น่าจะนำมาคืนโดยเร็ว แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะคืนเงินให้เท่าไหร่ แต่ถ้าได้เงินส่วนนี้มา ก็จะเร่งจัดสรรเฉลี่ยให้กับผู้เดือดร้อนทุกราย โดยไม่มีการเลือกว่าจะช่วยรายใหญ่หรือรายย่อยก่อน
“หลวงปู่”บุกพบกองปราบ
เวลา 13.30 น. วันเดียวกัน พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.พัฒนพงษ์ ศิริเจริญนำ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ที่กองบังคับการตำรวจปราบปราม ภายหลังนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตอุบลราชธานี เข้าแจ้งความว่า หลวงปู่พุทธะอิสระ กระทำการขัดขืนกฎอัยการศึก ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง ห้ามมิให้มั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และคุกคามมหาเถรสมาคม (มส.)
โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ เปิดเผยว่า แม้ข้อกล่าวหาดังกล่าวจะขาดองค์ประกอบความผิด เพราะต้องชุมนุมกันเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง แต่เพื่อไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมทั้งรัฐบาลลำบากใจ และเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่า มีการปฏิบัติ 2 มาตรฐาน จึงแสดงความจำนงที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวนเอง
แจ้งจับ“ธัมมชโย”เลียนแบบสงฆ์
พร้อมกันนี้ หลวงปู่พุทธะอิสระ ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานในประการที่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย, แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ หรือนักบวชในศาสนาโดยมิชอบ และข้อหาฉ้อโกง โดยหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความซึ่งควรแจ้ง โดยการหลอกลวงนั้นได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 208 และ 341 ตามลำดับ
เจ้าคณะปกครอง-มส.โดนด้วย
นอกจากนี้ หลวงปู่พุทธะอิสระ ยังได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าคณะปกครอง คือ เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ในประการที่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และ 157 ตามลำดับ และดำเนินคดีกับมหาเถรสมาคม ฐานไม่ปฎิบัติตามอำนาจหน้าที่ซึ่งบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 15 (ตรี) คือไม่ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม ไม่รักษาหลักพระธรรมวินัย
ชี้ผิดกม.-ละเมิดพระธรรมวินัย
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวต่อว่า พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2542 แต่ยังคงแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ฉ้อโกงประชาชน หลอกเอาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยเจ้าคณะปกครองและกรรมการ มส. กลับเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ โดย มส.หลีกเลี่ยงที่จะสั่งพระธัมมชโย ให้สึก โดยแค่เรียกทรัพย์สินคืน แล้วอ้างว่าไม่เจตนา ต่อมาก็มีการคืนตำแหน่งการปกครองให้แก่พระธัมมชโย กระทั่งในปี 2554 พระธัมมชโย ยังบังอาจขอพระราชทานสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ ระดับพระราชาคณะชั้นเทพ การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ละเมิดพระธรรมวินัย และบิดเบือนพระธรรมวินัย
จวกละเลยพระธรรมวินัย
“พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนพระนางปชาบดีโคตมี ความว่าผู้ปฏิบัติพระธรรมวินัยต้องเป็นไปเพื่อ 1.เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด 2.เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์ 3.เป็นไปเพื่อไม่สะสมพอกพูนกองกิเลส ก็ลองไปดูรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ว่ามีรถหรูกี่คัน กรรมการ มส.มีเงินกันเท่าไหร่ กี่ร้อยล้านบาท ลองไปดูว่านั่นถูกธรรมวินัยหรือไม่ 4.เป็นไปเพื่อความอยากน้อย การกระทำของวัดพระธรรมกายในทุกวันนี้ ไม่มีอะไรที่ถูกธรรมวินัยเลย กลับกลายเป็นตรงกันข้ามตลอดเวลา แต่ทาง มส.ก็ละเลยเพิกเฉยที่จะบังคับให้เป็นไปตามตามหลักพระธรรมวินัย” พระพุทธะอิสระ กล่าว
ทวงถามกรณีถอนฟ้องธัมมชโย
หลวงปู่พุทธอิสระ เปิดเผยด้วยว่า ในวันที่ 3 มีนาคม จะเดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดและกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อสอบถามถึงกรณีที่อัยการถอนฟ้องพระธัมมชโย ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเอาทรัพย์สินไปเป็นของตนโดยทุจริต เมื่อปี 2549
รองโฆษกอสส.เล็งขอดูสำนวน
ขณะที่ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบสำนวนคดีที่ นายพชร ยุติธรรมดำรง อดีตอัยการสูงสุด มีคำสั่งถอนฟ้อง พระธัมมชโย ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเอาทรัพย์สินไปเป็นของตนโดยทุจริต เมื่อปี 2549 ว่า ในเช้าวันที่ 3 มีนาคม ตนจะนำเสนอเรื่องนี้ต่อ นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด เพื่อขออนุญาตตรวจดูสำนวนคดีก่อนที่จะมีการชี้แจงในรายละเอียดต่อไป ทั้งนี้ เมื่อตรวจดูสำนวนแล้วก็จะทราบถึงเหตุผลในคำสั่งของอดีตอัยการสูงสุด เพราะก่อนการจะลงนามในครั้งนั้น จะต้องมีการอธิบายถึงเหตุผลในคำสั่งที่ออกไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี