ดีเอสไอเรียก‘ธัมมชโย’
สอบรับเช็ค
โยงเงินยักยอกสหกรณ์ฯ
แฉเคยสารภาพได้13ฉบับ
เผยหนังสือพุทธะถึงอสส.
ลุ้นสุดตัวรื้อ-ไม่รื้อคดีใหม่
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และกลุ่มพระลูกวัดบางส่วน ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ออกหมายเรียกเข้าให้ปากคำ เพื่อสางปมกรณีรับเช็คเงินบริจาคที่อาจจะเกี่ยวโยงกับคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น มูลค่า 16,000 ล้านบาท เริ่มประเดิมชุดแรกในวันที่ 10 มีนาคมนี้
ความคืบหน้าในเรื่องนี้เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม โดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น กับพวก 8 คน ยักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯมูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาท กล่าวว่า คดีนี้พนักงานอัยการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นรายละเอียดของการสั่งจ่ายเช็คเป็นรายฉบับรวม 878 ฉบับ ซึ่งดีเอสไอตรวจพบเส้นทางการเงินว่ามีการโอนเช็คกว่า 800 ล้านบาท บริจาคให้กับวัดพระธรรมกาย
“ล่าสุดเมื่อเย็นวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกพระธัมมชโย และกลุ่มพระในวัดพระธรรมกายที่มีรายชื่อปรากฏรับเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เข้าให้ปากคำ โดยมีการจัดลำดับการเข้าให้ปากคำเริ่มจากวันที่ 10 มีนาคม เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังออกหมายเรียกนิติบุคคล บริษัท ห้างร้าน ที่มีชื่อรับเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ช่วงปี 2552-2555 ที่นายศุภชัยเป็นประธานกรรมการบริหาร และเป็นผู้สั่งจ่ายให้ เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอด้วย” พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าว
สารภาพแล้วรับเอง13ฉบับ
ด้าน พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล หัวหน้าพนักงานสอบสวนชุดตรวจสอบความเชื่อมโยงทางการเงินระหว่างสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯกับวัดพระธรรมกาย กล่าวว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอชุดเก่า ยังไม่ได้สอบปากคำพระธัมมชโยในประเด็นที่มีชื่อรับเช็คด้วยตนเอง ครั้งนั้นพระธัมมชโยจึงไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งทนายมาแทน แต่ครั้งนี้ต้องการสอบสวนในส่วนที่พระธัมมชโยมีชื่อรับเช็คเอง จึงเรียกพระธัมมชโยเข้าให้ปากคำด้วยตนเอง
“เช็คที่ตรวจสอบพบนายศุภชัย อ้างว่าบริจาคให้วัดพระธรรมกาย มี 15 ฉบับ มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท โดยพนักงานสอบสวนดีเอสไอชุดเก่าสรุปไว้ว่าพระธัมมชโย ยอมรับว่ารับเช็ค 13 ฉบับ จากการตรวจสอบพบเช็คบางฉบับมีการสลักหลังและโอนเงินหลักร้อยล้านบาทกลับไปยังบัญชีบุคคลอื่นแทน ซึ่งรายชื่อกลุ่มพระที่เป็นผู้รับโอนเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ อาทิ พระวิรัช 100 ล้านบาท พระมนตรี 100 ล้านบาท และพระครูปลัดวิจารณ์ฯ 119 ล้านบาท เป็นต้น” พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าว
อสส.จ่อตั้งทีมรื้อคดี“ธรรมกาย”
อีกด้านหนึ่ง นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า พนักงานอัยการได้ทำบันทึกรับเรื่องหนังสือร้องเรียนที่พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือพุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ยื่นต่อนายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด(อสส.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีอัยการถอนฟ้องคดีและขอให้รื้อฟื้นคดีพระธัมมชโย ฐานยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย ขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง ไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว จากนั้นได้นำเอกสารเสนอไปยัง อสส.เพื่อขอให้พิจารณาสั่งการต่อไป ซึ่งคงจะต้องรอดูก่อนว่า อสส.จะมีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างไร และให้ใครเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่ตามปกติการพิจารณาเรื่องต่างๆของ อสส.เป็นไปด้วยความรวดเร็ว คาดว่าน่าจะพิจารณาและมีคำสั่งในสัปดาห์นี้
จ่อแจ้งความ“พุทธะ”หมิ่นสมเด็จช่วง
ขณะที่นายเสถียร วิพรมหา รักษาการนายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา(สนพ.) กล่าวว่า ในเวลา 10.00 น.วันที่ 6 มีนาคม ทาง สนพ.นำโดยตน และพระมหาโชว์ ทัสสนีโย ที่ปรึกษา สนพ.จะเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษที่กองปราบปรามต่อกรณีที่พุทธะอิสระ มีการกระทำที่อาจจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.คณะสงฆ์(ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2535 มาตรา 44 ทวิ และมาตรา 44 ตรี หรือไม่ เนื่องจากได้มีการแสดงออกผ่านทางเฟซบุ๊ก และยังมีการเดินทางไปยังวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จำพรรษาอยู่ ถือเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม
นายเสถียร กล่าวด้วยว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.คณะสงฆ์(ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2535 มาตรา 44 ทวิระบุว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระสังฆราช ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 44 ตรี ระบุว่า ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อื่น อันก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือความแตกแยก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“ไพบูลย์”เปิดเวทีฟังข้อมูลปฏิรูป
วันเดียวกัน นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) กล่าวว่า ที่รัฐสภา เวลา 09.00 น.วันที่ 11 มีนาคม นี้ คณะกรรมการฯจะเปิดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความเห็นของพุทธศาสนิกชนทุกฝ่ายในการจะปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาในเวทีที่ 1 โดยจะจัดให้ได้อย่างน้อย 3 ครั้ง เพื่อให้ครอบคลุมและทั่วถึง ซึ่งเวทีที่ 2 และ 3 จะดูความเหมาะสมว่าจะจัดที่ใด หรือในต่างจังหวัดหรือไม่ เพราะได้รับการร้องเรียนมามากทั้งจากพระสงฆ์และอุบาสก อุบาสิกา ที่อยู่ในชุมชนต่างๆ 5-6 เรื่อง
อัด มส.เกียร์ว่าง-พระดีโดนรังแก
“มีการร้องเรียนมาจากพระสงฆ์ในต่างจังหวัดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบการปกครองสงฆ์ปัจจุบัน อาทิ การเล่นพรรคเล่นพวก เพื่อแสวงหาประโยชน์ เช่น การสั่งปลดเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา จ.นนทบุรี ที่อ้างว่าชราภาพและอาพาธ ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ใช่ แต่กลับตั้งพระจากภายนอกมาเป็นเจ้าอาวาสแทนทำให้เกิดปัญหาทั้งในวัดและชุมชนรอบวัด โดยที่มหาเถรสมาคม(มส.) ไม่ได้สนใจแก้ไขปัญหาและทราบว่ายังมีอีกหลายแห่งในต่างจังหวัดที่มีพระปฏิบัติดีไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้ง” นายไพบูลย์ กล่าว
ซัดกลุ่มต้านมีนัยโยงการเมือง
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า กรณีที่กลุ่มเครือข่ายพระสงฆ์และสมาคมพุทธต่างๆจะเคลื่อนไหวสวดมนต์ในวันที่ 12 มีนาคม นี้ เพื่อขอให้ประธาน สปช. และรัฐบาลยุบคณะกรรมการฯนั้น เท่าที่ทราบพบว่าแกนนำที่เคลื่อนไหวเป็นเครือข่ายของกลุ่มที่รับผลประโยชน์จากการอาศัยกลไกกิจการพระพุทธศาสนาที่มีปัญหาในปัจจุบัน ซึ่งได้ทั้งลาภ ยศ ทรัพย์สินและสมณศักดิ์ ที่ตั้งข้อสังเกตเช่นนี้เพราะคณะกรรมการฯชุดตนเพิ่งจะเริ่มดำเนินการ ยังไม่ได้รับฟังความเห็นจากพุทธบริษัทเลย เครือข่ายดังกล่าวคงกลัวว่าพุทธบริษัทจะเอาความจริงมาตีแผ่ นำไปสู่การปฏิรูปพระพุทธศาสนาให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยและพุทธปฏิบัติอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำลายผลประโยชน์ และอิทธิพลของตัวเองที่ฝังลึกในองค์กรรัฐบางแห่งและคณะสงฆ์
“เครือข่ายนี้มีความเชื่อมโยงกับฝ่ายการเมือง และกลุ่มธรรมกาย ที่หวังใช้กรณีนี้ปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง ไม่ให้มีการตรวจสอบการกระทำที่เสื่อมเสียต่อกิจการพระพุทธศาสนา และกระตุ้นเชื่อมโยงความเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะไม่ใช่แค่การออกมากดดันให้ยุบคณะกรรมการฯชุดนี้ แต่จะใช้เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพื่อดิสเครดิตฝ่ายการเมืองด้วย จึงขอวิงวอนให้พุทธศาสนิกชนไทยจับตาดูการเคลื่อนไหวต่างๆที่อ้างพระพุทธศาสนาว่าสมควรหรือไม่” นายไพบูลย์ กล่าว
พท.จี้ไขก๊อกอ้างทำสงฆ์แตกแยก
ขณะที่นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระคุณเจ้าหลายรูปที่ล้วนสนใจเรื่องการปฏิรูปศาสนาของ สปช. โดยพระคุณเจ้าทุกรูปต่างไม่สบายใจว่าการปฏิรูปจะทำให้วงการสงฆ์แตกแยกมากขึ้น ทุกรูปกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่านายไพบูลย์ มีความคิดสุดโต่ง พูดจาแข็งกร้าว ยิ่งดูการทำงานของนายไพบูลย์ ในอดีตบนเวทีที่มีส่วนสร้างความแตกแยกในบ้านเมืองแล้วหนักใจมาก
“ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง สังคมเห็นแล้วว่าหลักคิดของนายไพบูลย์ เป็นอย่างไร จะทำให้งานปฏิรูปเดินไปลำบาก และส่งผลต่อการทำงานของ สปช. รัฐบาล รวมทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ด้วย จึงอยากขอร้องให้นายไพบูลย์ ถอนตัวจากการเป็นประธานคณะกรรมการฯชุดนี้ เรื่องศาสนาควรยึดหลักคิดเรื่องการเดินบนทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา ดังนั้นขอให้หยุดจะได้เป็นบุญกุศลร่วมกัน” นายชวลิต กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี