ปัญหาดินเค็มมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย แต่ที่มากที่สุดจะอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยกระจายอยู่ในทุกจังหวัด ถ้ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการก็จะทำให้เกลือขึ้นมาบนผิวดิน ส่งผลกระทบต่อการทำการเกษตร
นายชูเกียรติ คำโสภา ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินสกลนคร สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 กรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า จังหวัดสกลนคร มีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 6 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทางการเกษตรประมาณ 4 ล้านไร่ ซึ่งพบว่ามากกว่า 2.7 ล้านไร่ หรือประมาณ 46% ของพื้นที่ทั้งหมดได้รับผลกระทบมีการแพร่กระจายของเกลือบนผิวดิน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ดินเค็มน้อยถึงปานกลาง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการทำการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวที่อาจได้ผลผลิตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่ถึงกระนั้นเกษตรกรกว่า 80% ที่ต้องทำนาบนพื้นที่ดินเค็ม ก็ยังยึดอาชีพทำนาอยู่ เนื่องจากการทำนาเป็นทั้งวัฒนธรรมและเป็นวิถีชีวิตที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาหลายรุ่น ดังนั้นแม้ว่าดินเค็มจะส่งผลต่อผลผลิตก็ยังจำเป็นต้องใช้ประโยชน์พื้นที่ทำนาต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดินเค็มมาอย่างต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่ดินเค็มให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดทำเป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่ดินเค็มทุ่งเมืองเพีย จังหวัดขอนแก่น หรือเรียกว่า ทุ่งเมืองเพียโมเดล ซึ่งได้ขยายผลโครงการไปสู่จังหวัดในพื้นที่รับผิดชอบ ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ อุดรธานี และในปี 2558 นี้ได้ขยายผลมาถึงจังหวัดสกลนคร
การนำรูปแบบและองค์ความรู้ของทุ่งเมืองเพียมาขยายผลในพื้นที่จังหวัดสกลนครนั้น เริ่มแรกก็ต้องกำหนดโซนพื้นที่ที่จะดำเนินการพัฒนา โดยคำนึงจากกลุ่มเกษตรกรที่พร้อมจะให้ความร่วมมือ รวมไปถึงผู้บริหารพื้นที่ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีความต้องการจะร่วมมือกับทางสถานีพัฒนาที่ดินสกลนครไหม ซึ่งก็ได้พื้นที่ดำเนินการนำร่องคือที่บ้านดงมะไฟ บ้านดงขวาง ตำบลดงมะไฟ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร รวมพื้นที่ 800 ไร่ โดยขณะนี้ได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ดินเค็ม ด้วยการปรับรูปแปลงนา เนื่องจากปลงนาเกษตรกรจะเป็นแปลงเล็กไม่เหมาะกับการนำเครื่องจักรกลทางการเกษตรเข้าพื้นที่ ซึ่งต้องใช้แรงงานภาคเกษตรที่นับวันจะลดต่ำลง ก็ต้องปรับให้เป็นนาผืนใหญ่เพิ่มพื้นที่เพาะปลูกและยังสะดวกต่อการนำเครื่องจักกลไปใช้ได้
อีกทั้งทำคันนาให้ใหญ่ขึ้นและส่งเสริมการปลูกยูคาลิปตัสหรือกระถินออสเตรเลียบนคันนา เพื่อช่วยดูดซับน้ำ ลดระดับน้ำเค็มใต้ดินไม่ให้แพร่กระจายขึ้นมาบนผิวดิน ส่วนในแปลงนาก็ต้องปรับปรุงบำรุงดินด้วยการใช้แกลบ ปูนโดโลไมค์ ร่วมกันปลูกพืชปุ๋ยสด อย่างโสนอัฟริกัน ปอเทือง ถั่วพร้าแล้วไถกลบเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ควบคู่กับการฝึกอบรม ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนา ปรับปรุงพื้นที่ดินเค็มให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
แม้ว่าขณะนี้เพิ่งเริ่มต้นโครงการแต่เกษตรกรก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเห็นผลสำเร็จของทุ่งเมืองเพีย ซึ่งทำให้เกษตรกรตระหนักดีว่าดินเค็มเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ และเขาก็พร้อมที่จะทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ทางสถานีพัฒนาที่ดินสกลนครได้มีการเก็บตัวอย่างดินก่อนเริ่มโครงการไปตรวจวิเคราะห์หาค่าความเป็นกรด ด่าง ค่าธาตุอาหารในดิน และจะตรวจวิเคราะห์ซ้ำในช่วงระหว่างการดำเนินการและสิ้นสุดโครงการอีกครั้ง เพื่อเก็บข้อมูลเปรียบเทียบต่อไป
“การแก้ปัญหาดินเค็มสามารถทำได้จริง เพราะมีต้นแบบที่ชัดเจนที่ทุ่งเมืองเพีย ดังนั้น เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการขยายผลในจังหวัดสกลนคร จึงมีความเชื่อมั่นว่าถ้ามีการจัดการพัฒนาแก้ปัญหาดินเค็มอย่างถูกต้องแล้ว เขาจะสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวจากเดิมที่ได้ประมาณ 300-400 กก./ไร่ จะเพิ่มขึ้นเป็น 500-600 กก./ไร่ ได้ในที่สุด”
นายชูเกียรติ กล่าวย้ำ
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาดินเค็มต้องใช้ระยะเวลา เนื่องจากเป็นปัญหาที่สะสมเรื้อรังมานาน ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป เกษตรกรต้องใจเย็นและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เพราะไม่ใช่ทำปีนี้จะเห็นผล 100% ทันทีคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ สถานีพัฒนาที่ดินสกลนคร ได้ทำเรื่องเสนอของบประมาณปี 2559 เพื่อทำโครงการต่อเนื่อง เพราะถ้าสามารถพลิกฟื้นพัฒนาพื้นที่ดินเค็มของตำบลดงมะไฟ ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวได้ ก็จะทำเป็นพื้นที่ตัวอย่าง ให้เกษตรกรในพื้นที่อื่นได้มาศึกษาดูงาน และก็น่าจะมีการขยายผลโครงการดังกล่าวไปสู่พื้นที่ตำบลอื่นที่ประสบปัญหาดินเค็มด้วยเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี