การจัดงานของ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. ในกิจกรรม“Sook Activity : SOOK Talk ตอน เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข”ทำให้เราได้พบว่า ความปรารถนาสูงสุดของคนที่เป็นพ่อและแม่ คือ อยากให้ลูกของตน เป็นคนเก่ง ฉลาด แข็งแรง และเป็นคนดีของสังคมเพื่อหวังให้เติบโตขึ้นไปเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ
หากใครที่ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมในวันนั้น “ปานมณี”จะขอถ่ายทอดข้อมูล และเรื่องราวต่างๆ ที่จะสร้างความปรารถนาของผู้เป็นพ่อและแม่ได้สมปรารถนาให้รับทราบในคอลัมน์นี้อีกครั้ง
ในวันนั้น รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติ คุณแม่นักเรียนทุนวิชาการคนแรกของ Harold International School Bangkok ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารสื่อประสาทที่ทำให้เกิด “ความสุข” ว่า มี 4 สาร ได้แก่ 1.โดพามีน สารสื่อประสาทซึ่งหลั่งเมื่อเราได้รับในสิ่งที่ต้องการ และเมื่อความอยากได้รับการตอบสนอง 2.เซโรโทนิน สารสื่อประสาทซึ่งหลั่งเมื่อเรากำลังรู้สึกสงบ สบาย และผ่อนคลาย เช่น กำลังนั่งสมาธิ หรือนอนฟังเพลงที่ชอบ 3.ออกซิโทซินหลั่งเมื่อเรากำลังมีความรัก และจะมีมากเป็นพิเศษในคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร ทั้งนี้ออกซิโทซินจะหลั่งออกมาทั้งในความรักแบบหนุ่ม-สาว แบบครอบครัว และแบบเพื่อนที่มีความผูกพันกันมาก ช่วยให้เรารู้สึกสบายใจ ปลอดภัย และอบอุ่น 4.เอ็นโดรฟิน หลั่งเมื่อเรากำลังรู้สึกมีความสุขพร้อมกับโดพามีน เซโรโทนิน และออกซิโทซิน
เอ็นโดรฟินจะหลั่งออกมามากเป็นพิเศษตอนที่เราออกกำลังกาย หัวเราะ หรือยิ้ม นอกจากนี้ สารเอ็นโดรฟิน ยังทำหน้าที่เป็นยาแก้ปวดจากธรรมชาติ จึงสังเกตได้ว่า เวลาที่เรามีความสุข ความรู้สึกเจ็บปวดจะทำงานน้อยลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“สิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูกที่พ่อแม่ต้องคำนึงถึงคือ ความพอดี พ่อแม่ไม่ควรควบคุมลูกมากเกินไปในขณะเดียวกันก็ไม่ควรละเลยเขา แต่ควรเน้นการพูดคุย เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็น เด็กก็จะรู้สึกไม่กดดัน รู้สึกไว้ใจคนในครอบครัว โอกาสที่เขาจะทำในสิ่งที่ผิดจึงลดลงได้ด้วย” รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ กล่าว
ด้าน นายพงษ์พัฒน์ ธนวิสุทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ กล่าวว่า หลักธรรมของศาสนาพุทธมีมากมาย สำหรับหลักธรรมในการเลี้ยงดูแลบุตรให้ถูกต้องตามหลักธรรม ประการแรกคือ การให้ความเป็นอิสระ แต่ไม่ใช่การทำตามใจ ต้องปลอดกิเลสตัณหาและสิ่งชักจูงที่ไม่ดีทั้งหลาย
“อีกหนึ่งปัจจัยที่จะเสริมให้ลูกและครอบครัวมีความสุข คือ หลักพรหมวิหารธรรม 4 ประการ คือ 1.เมตตา รักใคร่ใส่ใจดูแล มีแต่ปรารถนาให้มีสุขตลอดเวลา 2.กรุณา คอยเป็นกำลังใจยามลูกผิดหวัง หรือรับรู้ความรู้สึกของลูกเสมอ 3.มุทิตา ยินดีเสมอเมื่อลูกได้ดี ประสบความสำเร็จทั้งด้านการศึกษา การครองชีพ และครองเรือน และ 4.อุเบกขา ยามลูกสุขสบายก็วางใจเป็นกลาง มองดูอยู่ห่างๆ เพื่อคอยช่วยเหลือ จึงจะเรียกว่าทำหน้าที่ของพ่อแม่ได้อย่างแท้จริง” นายพงษ์พัฒน์ กล่าว
ทางด้าน คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว นายแทนคุณ จิตต์อิสระนักแสดงและพิธีกร ร่วมแชร์ประสบการณ์เลี้ยงลูกให้มีความสุขว่า การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับลูกเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันมีสื่อต่างๆ มากมายทั้งสื่อดีสื่อร้าย การเลือกสรรสื่อที่ดี จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ของลูกอย่างสมวัย และต้องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่า “พ่อแม่ถือเป็นสื่อสำหรับลูก”
“การที่พ่อแม่มีโอกาสได้พูดคุยกับลูก จะช่วยสร้างความเข้าใจอย่างมีเหตุผลจะช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยนอกจากนี้ การเป็นแบบอย่างที่ดีต่อลูก เป็นอีกส่วนหนึ่งที่พ่อแม่พึงกระทำ เพราะการทำสิ่งที่ดีงามให้ลูกดูเป็นตัวอย่างทุกวัน เด็กๆ จะเรียนรู้ลักษณะนิสัยที่ดีจากการซึมซับในสิ่งที่พวกเขาได้เห็นอยู่เป็นประจำ เมื่อเราต้องการให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดี ตัวเราเองก็ต้องแสดงพฤติกรรมที่ดีเหล่านั้นให้ลูกเห็นด้วย และที่สำคัญมากก็คือ พ่อแม่ยังจะต้องสอนให้ลูกรู้จักการทำความดี ช่วยเหลือ และรู้จักการให้อภัยผู้อื่น มีความเพียรพยายามและอดทนต่อความยากลำบาก อีกทั้งรู้จักต่อสู้กับความพ่ายแพ้ในทุกรูปแบบของชีวิตด้วยความถูกต้องชอบธรรมโดยไม่ทำร้ายผู้อื่นเด็กที่เติบโตเป็นคนประเภทนี้แหละ ที่เป็นที่ต้องการของสังคมไทยยุคปัจจุบัน” นายแทนคุณ กล่าว
การเลี้ยงดูลูกให้เก่ง เป็นคนดี และมีความสุขนั้นอาจไม่จำเป็นต้องลงทุนมากมาย ขอเพียงพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเข้าใจถึงพัฒนาการของลูก และให้การเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม ก็สามารถทำให้เด็กๆ เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพได้สำหรับผู้สนใจกิจกรรมจากทางศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. สามารถติดตามได้ที่ www.thaihealthcenter.org
ปานมณี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี