วันที่ 26 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นประธานมอบรางวัลเครือข่ายภาครัฐต่อต้านการทุจริต ภายใต้โครงการ “ข้าราชการไทยไร้ทุจริต” พร้อมกล่าวให้โอวาทข้าราชการหน่วยงานต่างๆ ที่ร่วมงานตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มอบหมายให้ตนในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. แก้กฎหมายจัดซื้อจัดจ้างให้เข้มงวดและรัดกุมมากขึ้น โดยเพิ่มโทษให้สามารถเอาผิดถึงระดับนโยบายได้ โดยคาดว่าน่าจะผลักดันออกมาบังคับใช้ได้ภายในสิ้นปีนี้
“ในกฎหมายดังกล่าว มีการเพิ่มบทลงโทษไปถึงนักการเมืองหรือผู้บริหารระดับนโยบาย ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาจนถึงระดับล่าง เพราะปัจจุบันมีหลายเรื่องที่ไม่สามารถเอาผิดได้ เนื่องจากหลักฐานไปไม่ถึง เช่น กรณีก่อสร้างสนามฟุตซอล ที่ในที่สุดเอาก็เอาผิดแค่บรรดาคุณครูเท่านั้น จึงต้องพยายามแก้กฎหมายให้ถึงระดับใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังให้ได้”
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า การปราบปรามทุจริตอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ ต้องมีระบบป้องกันด้วย ซึ่งต้องการการรับรู้ตั้งแต่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกัน ตนได้บูรณาการหน่วยงานที่ดูแลเรื่องทุจริตใหม่ โดยดึงองค์กรอิสระมาตั้งเป็นศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ประกอบด้วย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.) และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ(คตร.) โดยมีระเบียบที่ออกโดยคำสั่งนายกฯมีกฎหมาย มีอำนาจรองรับหมด โดยหน่วยงานเหล่านี้จะไปดูว่ามีเรื่องทุจริตที่ไหน จะเข้าไปตรวจสอบนำมาตีแผ่ และนำข้อมูลที่ได้รายงานตรงต่อนายกฯได้ทันที
รมว.ยุติธรรม ยังเปิดเผยด้วยว่า จะมีการส่งรายชื่อข้าราชการที่ทำผิดให้นายกฯดำเนินการภายในสิ้นเดือนมีนาคม โดยตนรายงานนายกฯโดยตรงว่า ถ้าไม่ทำลักษณะนี้ ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมคือ รายชื่อเหล่านี้ก็จะไปค้างอยู่ที่อัยการ เพราะใช้กระบวนการตรวจสอบนาน จนรู้สึกว่าทำไมเกิดความล้าช้า เพราะรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ดังนั้น ต่อไปถ้ามีหลักฐานที่ชัดเจนจนเชื่อได้ว่าทำผิดแล้ว ก็สามารถปรับย้ายบุคคลนั้นๆ ออกจากปัญหา ซึ่งทำให้เห็นผลเร็วขึ้น เหมือนที่ประเทศจีนดำเนินการ ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ปัญหาทุจริตเกิดขึ้นทุกจังหวัดทุกกระทรวง เพียงแต่มากน้อยต่างกัน ซึ่งตนไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ด้านนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริตเปิดเผยว่า คณะกรรมการฯมีมติเห็นชอบให้ติดตามโครงการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่าง ให้เป็นตามข้อตกลงคุณธรรมเพื่อป้องกันการทุจริตในวงราชการและเอกชน ซึ่งรัฐบาลเห็นชอบไปแล้ว 2 โครงการ ที่ต้องทำข้อตกลงคุณธรรม ได้แก่ โครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ของกระทรวงคมนาคม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ของ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯยังเห็นชอบอีก 3 โครงการ ที่ต้องทำข้อตกลงคุณธรรมป้องกันการทุจริต ประกอบด้วย โครงการของกรมประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านระบบทีวีอนาล็อกมาเป็นระบบดิจิตอลระยะที่ 2 มูลค่า 1,000 ล้านบาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมของกรมศุลกากรด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ ทั้งสินค้าและหีบห่อของการเดินทาง มูลค่า 1,300 ล้านบาท และโครงการซื้อเครื่องจักรของโรงงานยาสูบแห่งใหม่มูลค่า 7,400 ล้านบาท จากนี้คณะทำงานของคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต จะพิจารณาโครงการเพิ่มอีก 4-5 โครงการ เข้ามาทำข้อตกลงคุณธรรมป้องกันการทุจริต เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างโปร่งใสไม่มีทุจริต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี