ผลสำรวจกรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า นอกจากไฟป่าตามธรรมชาติแล้ว การเผาป่าด้วยฝีมือมนุษย์ ก็เกิดขึ้นไม่น้อย โดยมนุษย์มีมูลเหตุจูงใจหลายประการ ได้แก่ การหาของป่า 59% การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก 14.49% เผาเพื่อล่าสัตว์ 13.66% และอื่นๆ อีก 12.70%
ในที่นี้ขอกล่าวถึง 2 สาเหตุแรกนั่นคือ การเผาป่าเพื่อหาของป่า ที่เกิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงสุดนั้น เพราะความเชื่อที่ว่า การเผาจะทำให้เห็ดเผาะหรือผักหวานแตกยอดอ่อน เนื่องจากต้นไม้ในป่าเต็งเมื่อโดนไฟลวก ใบจะร่วงแล้วแตกใบใหม่ ขณะที่ไม้พื้นล่างของป่าส่วนใหญ่จะเป็นต้นเพ็ก(เหมือนต้นไผ่แต่สูงประมาณเอว) ที่พอไหม้เตียนแล้ว จะทำให้เดินหาของป่าสะดวกขึ้น ทั้งนี้ ราคาเห็ดเผาะหรือที่คนเหนือเรียกเห็ดถอบนั้น สูงถึงกิโลกรัมละ 400-500- บาททีเดียว
สำหรับการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกนั้น เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของภาคเหนือที่ลึกลับซับซ้อนยากต่อการเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ จึงเอื้อต่อการปลูกพืชเสพติดอย่างกัญชาและฝิ่น ในอดีตจึงมีการปลูกพืชเสพติดและทำไร่เลื่อนลอยเป็นบริเวณกว้าง
หากจะใช้วิธีการ “แผ้วถาง”หรือ “ไถกลบ” ป่าบนที่ลาดชัน นอกจากจะเกิดค่าใช้จ่ายที่สูงและใช้เวลานานแล้ว ยังเสี่ยงต่อการตกเขาเสียชีวิต ซึ่งไม่มีชาวบ้านหรือชาวเขาคนไหนยอมเสี่ยง พวกเขาจึงเลือกใช้ “การเผา” ซึ่งกลายเป็นวิถีชีวิตของคนบนที่สูงที่ถ่ายทอดกันมา จนยากที่จะเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม ในอดีตหมอกควันเป็นเรื่องรอง แต่“ยาเสพติด” เป็นประเด็นสำคัญที่สร้างปัญหาระดับชาติ ภาครัฐจึงพยายามหาหนทางที่จะเปลี่ยนการปลูกพืชเสพติดเป็นพืชชนิดอื่น โดยร่วมมือกับบริษัทเกษตรรายใหญ่ที่เข้ามาสนองตอบนโยบายรัฐและดำเนินตามรอยพระราชดำริ ที่ต้องการให้ชาวเขายุติการปลูกกัญชาค้าฝิ่น ลดวงจรอุบาทว์ของยาเสพติดที่ทำร้ายทำลายชาติ
การทำเกษตรบนพื้นที่สูงจะเอื้อต่อพืชที่ใช้น้ำน้อยเท่านั้น...“ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์”จึงกลายเป็นพืชไร่ทดแทนพืชเสพติด เพราะตอบโจทย์ในประเด็นนี้ได้ดี นอกเหนือจากการเป็นพืชระยะสั้น เพียง 3-4 เดือนก็เก็บเกี่ยว สร้างรายได้แก่เกษตรกรอย่างรวดเร็ว กระทั่งเรียกกันว่าเป็นพืชเงินสด(cash crops) ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดแรงจูงใจแก่ชาวบ้านและชาวเขา อาชีพปลูกข้าวโพดจึงเข้ามาทดแทนการปลูกฝิ่น ปลูกกัญชาได้ในที่สุด ขณะที่วิถีการเผาที่สร้างควันไฟ ก็ยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อวิถีการเผาเป็นความเชื่อและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้หมอกควันจากการเผากำลังย้อนกลับมา
สนองตอบการกระทำของคนเหนือเอง จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่คนท้องถิ่นเอง รวมไปถึงภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ จะต้องจับมือกันร่วมแก้ไขปัญหานี้อย่างบูรณาการ
ผศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวไว้ว่า ต้นเหตุแท้จริงของปัญหาหมอกควัน ไม่ได้มาจากคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง องค์ประกอบหมอกควันไม่ได้เกิดจากภูมิอากาศหรือคน เพียงอย่างเดียว ปัญหาหมอกควันจะไม่หยุดแค่วันนี้ แต่พรุ่งนี้ต้องกลับมาอีกและเกิดในระดับภูมิภาคด้วย หากไม่มีการจัดการเป็นระบบหรือรูปธรรม มันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ในส่วนภาคประชาชนยังมีช่องว่างอยู่ จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการพูดคุยกัน ถ้าไม่ให้ชาวบ้านเผาวัชพืชซึ่งเป็นเกษตรแบบพึ่งพาไฟที่มีต้นทุนต่อพื้นที่ต่ำกว่า ก็ควรมีทางเลือกอื่นให้ รวมถึงการจัดการเรื่องการใช้ที่ดินของรัฐต่อทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนกระบวนการจัดการโครงสร้างทางการเงินและภาษีสิ่งแวดล้อมที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย เรียกว่า ต้องกางข้อมูลทั้งหมด ตีแผ่ให้เห็นตลอดเส้นทางการเกิดหมอกควันและแก้ปัญหาแต่ละขั้นตอนของซัพพลายเชนนั้น จะสำเร็จได้หรือไม่ ก็ขึ้นกับความร่วมมือของทุกฝ่าย
เปลี่ยนความเชื่อเรื่องการหาของป่า เปลี่ยนพฤติกรรมเผาในวิถีปฏิบัติ เปลี่ยนพืชไร่จากข้าวโพดเป็นอย่างอื่น...ถ้าความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด เกิดขึ้นบนรายได้ที่เท่าเดิมหรือดีขึ้น แลกกับอากาศที่บริสุทธิ์ของภาคเหนือกลับคืนมา เชื่อว่าทุกคนก็พร้อมเปลี่ยนแปลง
อย่าให้เป็นเช่นที่ผ่านมา ที่แนะนำให้ปลูกพริก พอได้ผลผลิต กลับไม่รู้จะเอาพริกไปขายใคร ถ้าเป็นเช่นนี้เกษตรกรจะสร้างรายได้อย่างไร... อย่าลืมว่าเขาก็ต้องกินข้าว ค่าเทอมลูกก็ต้องจ่าย ค่าน้ำค่าไฟก็ต้องใช้ ถ้าคิดจะเปลี่ยน ต้องยื่นสิ่งที่ดีกว่าให้เขา... อย่าหลงประเด็นไปโยนบาปให้ใคร แทนที่จะได้แนวร่วมจะกลายเป็นขาดพันธมิตรที่ดีไปเสียอีก.../
พายุฤดูร้อนพัดพาน้ำฝนมาช่วยดับร้อนคลายแล้งไทยหลายพื้นที่ รวมทั้งภาคเหนือ ทำให้สถานการณ์ไฟป่า หมอกควันพิษที่วิกฤติมาพักใหญ่ เริ่มคลี่คลาย แต่ปัญหาเผาป่าและหมอกควันพิษ ก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องพิจารณาทางแก้ไขกันจริงจังต่อไป ไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซาก ให้พูดถึงกันทุกปีอีก
มีผู้ส่งบทความชื่อ “ปัญหาหมอกควัน...ต้องร่วมแก้ไขอย่างบูรณาการ” มาให้พิจารณา ผมดูแล้วสอดคล้องกับสถานการณ์และมีประเด็นสำคัญ จึงขออนุญาตนำลงเผยแพร่ให้ต่อ ดังนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี