เมื่อวันที่ 31 มีนาคม นายวัลลภ นาคบัว รองโฆษกกระทรวงยุติธรรม และ นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แถลงข่าวการพระราชทานอภัยโทษตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2558 ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน พ.ศ.2558 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
นายวัลลภ กล่าวว่า การพระราชทานอภัยโทษ ถือเป็นการพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่โบราณกาล เพื่อให้โอกาสกับนักโทษที่ตั้งใจมุ่งมั่นแก้ไขปรับปรุงตนเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2558 ประกาศเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2558
ขณะที่ นายวิทยา กล่าวว่า ผู้ที่จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษในโอกาสนี้ มีสาระสำคัญและหลักเกณฑ์ คือ 1.ผู้ที่จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว ได้แก่ ผู้ต้องโทษกักขัง ผู้ต้องโทษปรับที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ ผู้ต้องโทษที่ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ และนักโทษเด็ดขาดที่มิได้กระทำผิดในคดีร้ายแรงที่เหลือกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี นักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมที่เหลือกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี นักโทษเด็ดขาดอายุ 70 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป หรืออายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์แต่ไม่เกิน 70 ปี ที่เหลือกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นักโทษเด็ดขาดเป็นคนพิการหรือทุพพลภาพ นักโทษเด็ดขาดเป็นคนเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง เป็นหญิงหรือผู้มีอายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ซึ่งต้องโทษจำคุกเป็นครั้งแรก และต้องได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1ใน 2 ของโทษตามกำหนดโทษ โดยประมาณการผู้ได้รับการพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว 38,000 คน
ส่วนนักโทษกลุ่มที่ 2 ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดหย่อนโทษตามสัดส่วนต่างๆ จำนวน 140,000 คน และสำหรับกลุ่มที่ 3 เป็นนักโทษเด็ดขาดที่ไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ได้แก่ นักโทษเด็ดขาดที่ต้องโทษในคดีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษกฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ฐานผลิต นำเข้า หรือส่งออก หรือฐานผลิต นำเข้า หรือส่งออกเพื่อจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายที่มีกำหนดโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเกิน 8 ปีขึ้นไป
“การพระราชทานอภัยโทษเป็นหนึ่งในกระบวนการที่แสดงให้เห็นว่ามาตรการลงโทษจำคุกผู้ต้องขังเพียงอย่างเดียวไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด สุดท้ายก็จะต้องกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าว
สำหรับนักโทษรายสำคัญๆ ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสนี้ ได้แก่ พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือผู้พันตึ๋ง ต้องโทษคดีฆ่าอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับลดหย่อนผ่อนโทษ นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ ต้องโทษคดีทุจริตที่ดินเขาไม้แก้วและจ้างวานฆ่า โดยคดีที่ดินเขาไม้แก้ว จำคุก 3 ปี 4 เดือน นับแต่ 1 กันยายน พ.ศ.2556 คดีนี้ได้รับอภัยโทษ 1 ใน 5 หรือลดโทษ 8 เดือน ส่วนคดีจ้างวานฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุก 25 ปี ได้รับอภัยโทษ 1 ใน 5 หรือลดโทษ 5 ปี พ้นโทษ 27 กันยายน พ.ศ.2578 สรุปกำนันเป๊าะได้ลดอภัยทั้งหมด 5 ปี 8 เดือน ส่วนนักโทษเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนักโทษตระกูลสุวะดี ได้รับลดหย่อนโทษในคดีอื่น ยกเว้นคดีความผิดมาตรา 112 รวมถึง นายอภิรุจและนางวันทนีย์ สุวะดี ก็ได้รับลดหย่อนโทษคดีอื่นๆ ยกเว้นคดีความผิดมาตรา 112
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนักโทษการเมือง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีการคุมขังนักโทษการเมือง แต่ผู้กระทำผิดจากมูลเหตุจูงใจด้วยการเมือง ต้องโทษด้วยคดีอาญา เข้าข่ายลดหย่อนโทษในคดีอาญา ส่วนนักโทษคดีความมั่นคงซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร ขึ้นกับกระทรวงกลาโหมที่จะดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี