สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้มาเร็วและได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่เกษตรรวมกว่า 75,000 ไร่ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมเร่งหามาตรการรับมือ ป้องกันผลกระทบในระยะยาว
นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งเป็นประจำทุกปี โดยพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายเฉลี่ยปีละ 2.74 ล้านไร่ มูลค่าความเสียหายปีละประมาณ 727.04 ล้านบาท สำหรับสถานการณ์ภัยแล้งในขณะนี้ ทาง สศก.ได้ติดตามและประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งในจังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา นครสวรรค์ ชัยนาท ลพบุรี มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ถึงเดือนมีนาคม 2558 พบว่า มีพื้นที่ประสบภัยรวม75,706 ไร่ มูลค่าความเสียหายโดยเฉพาะสินค้าข้าว 212.60 ล้านบาท จากพื้นที่เสียหาย 36,930.25 ไร่ คิดเป็นปริมาณผลผลิต 25,195.89 ตัน
ทั้งนี้ จากนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ที่ออกประกาศงดการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปรัง ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง รวม 26 จังหวัด ประกอบกับราคาข้าวมีแนวโน้มลดลง ทำให้เกษตรกรลดเนื้อที่เพาะปลูกลง โดยปล่อยพื้นที่ว่างหรือบางรายปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เช่น พืชตระกูลถั่ว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดหวาน ส่งผลให้พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งน่าจะมีแนวโน้มลดลงจากปีที่ผ่านมา
ส่วนด้านไม้ผล อย่างลำไยและลิ้นจี่ ผลผลิตโดยรวมลดลงเนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวย อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยจะสูงกว่าค่าปกติและสูงกว่าปีที่แล้ว ทำให้ออกดอกติดผลลดลง เช่นเดียวกับกาแฟ พันธุ์โรบัสตาในแหล่งผลิตภาคใต้ผลผลิตต่อไร่ลดลงเนื่องจากปัญหาฝนทิ้งช่วง อากาศร้อน แห้งแล้งในช่วงกาแฟออกดอก ส่งผลให้กาแฟติดดอกออกผลไม่ดี ขณะที่ด้านประมง ปริมาณการผลิตปลานิลและปลาดุกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอเป็นผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายของพืชผลทางการเกษตรจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ขึ้นอยู่กับความหนักเบาในแต่ละปี ปริมาณน้ำในเขื่อนก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้หากเจอภัยแล้งดังกล่าว ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศควบคู่กับการรักษาสภาพแวดล้อม ลดการปลดปล่อยคาร์บอน เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของเกษตรกรและภาคเกษตรไทย รวมทั้ง เกิดความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งควรดำเนินการแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเร่งดำเนินการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาพันธุ์พืชที่ใช้น้ำน้อย มีความต้านทานต่อภาวะอุณหภูมิที่สูงขึ้น ต้านทานโรคและแมลง ทนแล้ง รวมถึงทนน้ำท่วมขัง
นอกจากนี้ ยังต้องบริหารจัดการน้ำและใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็กในไร่นาและระบบชลประทานขนาดเล็กให้เพียงพอต่อการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และบรรเทาผลกระทบจากน้ำท่วมตลอดจนการทำฝนเทียม ซึ่งแก้ไขปัญหาในการขาดแคลนน้ำจืดที่ได้ผลดีวิธีหนึ่งโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย โดยส่วนใหญ่แล้วมักใช้ในพื้นที่ฝนทิ้งช่วงในฤดูฝนและพื้นที่สำคัญในการเพาะปลูกพืชทางเศรษฐกิจ
นายเลอศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สศก.ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำเนินการศึกษาข้อกฎหมาย ที่จะดึงโครงการชลประทานขนาดเล็ก ที่เป็นภารกิจถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนไม่ต่ำกว่า 6,000 โครงการ ซึ่งหลายแห่งยังขาดการนำมาใช้ประโยชน์ ให้นำกลับมาเป็นโครงการของกระทรวงเกษตรฯ เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งน้ำนอกเขตชลประทานใช้สนับสนุนเพื่อการเกษตร ตลอดจนเพื่อการอุปโภค บริโภค ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและประชาชนนอกเขตชลประทานต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี