พร้อมๆ กับการประกาศใช้“ดาบอาญาสิทธิ์”มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 มาแทนที่ “กฎอัยการศึก”ที่ยกเลิกการใช้ไป ก็มีการสนธิกำลังของฝ่ายทหารกองทัพภาคที่ 2 กับกรมป่าไม้ ตลอดจนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.),กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) และกรมที่ดิน เข้าตรวจสอบสนามแข่งรถอินเตอร์เนชั่นแนล โบนันซ่า สปิดเวย์ ในพื้นที่ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ที่ถูกร้องเรียนเรื่องการบุกรุกฮุบที่ป่า แล้วขยายผลเป็นการตรวจสอบโครงการ“โบนันซ่า”ทั้งหมด ที่มีทั้งสนามกอล์ฟ รีสอร์ท บ้านพักต่างๆ ฯลฯ กลายเป็นข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่องในเวลานี้
การที่เรื่องนี้ เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก มาจากหลายองค์ประกอบร่วมกัน ทั้งเรื่องตัว“โบนันซ่า”
เอง ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่มีชื่อเสียงมานาน มีเจ้าของที่เป็นบุคคลระดับทรงอิทธิพลไม่ธรรมดาอย่างนายไพวงศ์ เตชะณรงค์ ผู้มีหลายสถานะ และสถานสำคัญหนึ่งคือ ถูกมองเป็นนายทุนใหญ่ผู้หนึ่งของเครือข่ายระบอบทักษิณ ผู้ให้การอุดหนุนค้ำชูการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง จน “โบนันซ่า”กลายเป็นสถานที่ชุมนุมใหญ่ทางการเมืองของคนเสื้อแดงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ขณะที่การสนธิกำลังของทหารและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าจัดการปัญหาบุกรุกป่าที่เกี่ยวกับผู้ทรงอิทธิพลแบบนี้ ย่อมเป็นการยืนยันถึงการที่รัฐบาลคสช.ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จำเป็นต้องคงไว้ซึ่ง“อำนาจพิเศษ”เพื่อจัดการปัญหา “ใหญ่-ยาก” ที่รัฐบาลปกติหรือขบวนการกฎหมายปกติ ไม่สามารถจัดการได้เลย จนปล่อยปละให้เป็นปัญหาเรื้อรังตำหูตำตาประชาชนมายาวนาน ดังนั้น เมื่อเลิกกฎอัยการศึก ถึงต้องมี “มาตรา 44” ออกมาใช้แทนในทันที
กรณี“โบนันซ่า”นี้ ยังสะท้อนถึงรากเหง้าของปัญหาการบุกรุกยึดครองที่ป่า ซึ่งทำกันอย่างเป็นขบวนการ เกี่ยวข้องทั้งนักการเมืองผู้มีอำนาจ, นายทุน, ชาวบ้าน จนถึงเจ้าหน้าที่ ข้าราชการท้องถิ่นเกือบทุกระดับ แม้กระทั่งส่วนกลางด้วย
ทั้งยังสะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพของกลไกรัฐที่ไม่เคยสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง แถมความ “มั่ว” ของกลไกรัฐหลายหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ทับซ้อนกัน ก็เป็นตัวเอื้อให้ขบวนการ “ฮุบ” ที่ป่า ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการตรวจสอบเบื้องต้น กรณีที่ดินสนามแข่งรถ“โบนันซ่า” ซึ่งอาจมีการซื้อขายมาหลายทอดก็ตาม พบมีหลักฐานเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. รวม 5 แปลง พื้นที่ 47 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 153 ไร่ ส่วนที่เหลืออีกกว่า 100 ไร่เข้าข่ายเป็นพื้นที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติเขาเสียดอ้า ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเดิมบริเวณนี้มีการประกาศเป็นพื้นที่ป่าถาวรตามมติครม.ปี 2506 ต่อมาปี 2509 ออกกฎกระทรวงประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติเขาเสียดอ้า แต่ในปี 2519 กลับมีเจ้าหน้าที่กรมที่ดินเข้าไปเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในเขตป่าไม้ถาวรและป่าสงวนแห่งชาติเขาเสียดอ้า ทั้งที่ตามกฎหมายที่ดิน ห้ามมิให้เดินสำรวจออกเอกสารสิทธิในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
แค่จุดนี้ ก็ชี้ว่า การออกเอกสารสิทธิในพื้นที่ดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเจ้าหน้าที่กรมที่ดินที่ดำเนินการเรื่องนี้ สมควรจะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่
ปี 2536 กรมป่าไม้ยกที่ดินบางส่วนให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)ไปจัดสรรให้เกษตรกรไร้ที่ทำกิน แต่ก็ดำเนินการไม่ได้ เพราะกรมที่ดินได้ออกเอกสารสิทธิน.ส.3 ก. ไปแล้ว แต่ส.ป.ก.หาได้จัดการแก้ไขอะไรเลย เพื่อให้เกิดความถูกต้อง
แล้วในปี 2549 ก็มีการเดินสำรวจออกเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินในเขตป่าไม้ถาวร จึงมีการนำน.ส.3 ก.ที่เคยเดินสำรวจปี 2519 มาขอออกเป็นโฉนดที่ดิน...นี่เท่ากับเป็น“ขบวนการฟอกที่ป่า”มาเป็นโฉนดที่ดินชัดๆ
การจัดการปัญหาครั้งนี้ จึงเกี่ยวข้องความผิดตามกฎหมายซึ่งเกี่ยวพันไปทั้งกรมที่ดิน กรมป่าไม้ และส.ป.ก. แล้วยังเป็นเรื่องที่ต้องจัดการกวาดล้างการใช้อำนาจโดยมิชอบต่างๆ ด้วย ขณะที่ยังมีปัญหาการบุกรุกยึดครองที่ป่าทั่วประเทศอีกเป็นจำนวนมากแทบทั่วทุกภาคก็ว่าได้ ที่มีลักษณะที่คล้ายกัน เต็มไปด้วยความฉ้อฉลและซับซ้อน ซึ่งถ้าไม่ใช่อำนาจพิเศษแห่งดาบอาญาสิทธิ์ของคสช.ก็คงยากจัดการได้
ดังนั้น “อำนาจพิเศษ” ของคสช. ถ้าใช้แบบสร้างสรรค์ แก้ปัญหาเลวร้ายที่หมักหมมในสังคมไทยแบบนี้ไปให้ได้ตลอด ก็คงไม่น่ารังเกียจนัก ขอแต่อย่าให้เหลิง จนนำไปใช้ผิดๆ ก็แล้วกัน
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี