ประเด็นนี้เป็นคำถามและเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานว่าตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียขึ้นมาหลายแห่ง แต่ก็ยังไม่สามารถจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสียได้ แม้จะออกข้อบัญญัติการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2547 แต่ก็ไร้วี่แววดำเนินการได้ ส่งผลให้กรุงเทพมหานครต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ซึ่งสาเหตุปัญหาที่แอบซ่อนอยู่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องทางการเมือง ที่กลัวว่าอาจกระทบกับค่านิยมประชาชน การเมืองจึงไม่แสดงทีท่าหรือจิตสำนึกความรับผิดชอบชัดเจนลงไป แน่นอนว่ากรุงเทพมหานครย่อมต้องหาวิธีการในการจัดการปัญหา แต่ถ้าประชาชนไม่ร่วมมือก็ยากที่จะเดินหน้าได้ ในประเทศไทยมีเทศบาลไม่กี่แห่งที่สามารถจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสียได้ อาทิ เทศบาลเมืองพัทยาและเทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี รวมทั้งเทศบาลตำบลป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ดังนั้นวันนี้มีการตั้งคำถามว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนกรุงเทพฯจะพร้อมใจกันเสียสละ
นายกังวาฬ ดีสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารกรุงเทพมหานครมีความพยายามผลักดันและแก้ปัญหาเหล่านี้มาต่อเนื่อง เพราะเราทุกคนเป็นผู้ก่อมลพิษจึงต้องรับผิดชอบ โดยหลักง่ายๆ คือ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” เราใช้น้ำและเมื่อน้ำเสียเกิดขึ้น ผู้ใช้น้ำก็ควรต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการบำบัดน้ำเสียนั้นด้วย ซึ่งผู้ปล่อยน้ำเสียก็มีอยู่ทุกระดับ ตั้งแต่ประชาชนจนถึงผู้ประกอบการด้านบริการและอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีปริมาณความสกปรกและระดับความเป็นพิษที่แตกต่างกันไปตามปริมาณและกิจกรรมนั้นๆ วัตถุประสงค์ของการเก็บค่าบำบัดน้ำเสียก็เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญ รวมถึงการมีส่วนช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม การเรียกเก็บเงินก็เพื่อให้มีรายได้ไปดูแลระบบบำบัดน้ำเสียรวมของกรุงเทพมหานคร และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการบำบัดน้ำเสียด้วย จึงถือเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องจ่ายค่าบำบัดน้ำเสีย
อย่างไรก็ตามสำนักระบายน้ำก็ได้จัดเตรียมเสนอระเบียบและวิธีการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสียจากผู้ที่ใช้น้ำประปาจำนวน 3 แนวทาง ให้คณะผู้บริหารพิจารณาคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ ก่อนเสนอกระทรวงมหาดไทย (มท.) ประกาศใช้ โดย 3 แนวทางการจัดเก็บประกอบด้วย
“โรงบำบัดน้ำเสียแต่ละแห่งที่มีอยู่ กทม.ต้องรับภาระ นับเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการอนาคต ประชาชนจึงต้องออกมาร่วมรับผิดชอบแก้ไข”
1.กทม.จะซื้อข้อมูลจากการประปานครหลวง (กปน.) เพียงอย่างเดียว หรือเรียกว่าซื้อข้อมูลจำนวนบ้านคนที่ใช้น้ำประปาในกรุงเทพฯ จากนั้นนำข้อมูลมาพิมพ์ใบเสร็จเอง 2.กทม.จะให้กปน.จัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสียพร้อมกับค่าน้ำประปา โดยให้พิมพ์ข้อมูลอยู่ในใบเสร็จเดียวกัน โดยจะคิดค่าใบเสร็จและค่าข้อมูลจากกทม.
3.การเหมาจ่ายเช่นเดียวกับการจัดเก็บค่าขยะมูลฝอย โดยแนวทางนี้จะต้องแก้ไขข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย พ.ศ.2547 โดยจะแบ่งอัตราค่าธรรมเนียมตามประเภทของอาคารหรือสถานที่ที่เป็นแหล่งกำเนิดน้ำเสีย เมื่อแก้ไขข้อบัญญัติดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงจะขอความเห็นชอบจากสภากรุงเทพมหานคร เพื่อประกาศใช้ต่อไป
แหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า หากมองความเป็นไปได้ว่า 2 เป็นวิธีที่ดีและสะดวกที่สุดแต่วิธีนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนเนื่องจาก กปน. ได้ปฏิเสธการจัดเก็บให้กับ กทม. เพราะพระราชบัญญัติการประปานครหลวงไม่ได้ระบุให้มีการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสีย แต่สามารถเป็นผู้ออกใบเสร็จการใช้น้ำประปาให้กับกทม.ได้ แต่เมื่อมีสัญญาณที่ดีจากรัฐบาลในเรื่องการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสียของกรุงเทพมหานคร ก็มั่นใจว่าจะมีทางออกที่ดี เพราะเชื่อว่าระเบียบสามารถแก้ไขให้ทันเหตุการณ์ในปัจจุบันได้ เพื่อประชาชนจะได้ประโยชน์ เพราะหากปิดประตูเพียงเพราะไม่มีระเบียบรองรับประชาชนจะไม่มีโอกาสร่วมแก้ปัญหาสิ่งที่ก่อร่วมกันเลย การออกใบเสร็จรวมในค่าน้ำเลยนั้นส่วนหนึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ไม่ต้องมีใบเสร็จหลายใบ แต่จำเป็นจะต้องระบุรายละเอียดให้ชัดเจน
“เงินที่ประชาชนจะต้องจ่ายให้กับค่าบำบัดน้ำเสียก็ไม่มากเลยหากเทียบกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ เรื่องนี้ กทม.ไม่ได้โยนภาระให้กับประชาชนแต่อยากให้ทุกคนตระหนักในเรื่องการมีส่วนร่วม เมื่อเราปล่อยน้ำเสียออกมาเราก็ต้องรับผิดชอบ โดยเฉลี่ยคนกรุงเทพฯ มีการใช้น้ำประปาคนละประมาณ 120-130 ลิตรต่อวัน เรามีประชากรรวมประมาณ 10 ล้านคน ทำให้มีน้ำเสียออกมาประมาณ 130,000 ลบ.ม./วัน นี่ยังไม่รวมจากสถานประกอบการ โรงงานอีกประมาณ 300,000 ลบ.ม./วัน ทำให้ปัจจุบันกทม.ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการบำบัดน้ำเสีย เงินที่จัดเก็บเข้ามาก็นำไปพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียแต่ก่อนที่ประชาชนจะต้องจ่ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันเสียก่อน ไม่ควรอ้างข้อจำกัดหรือระเบียบ เพราะระเบียบสามารถปรับแก้ให้ทันสมัยได้” แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียจะคิดเป็นสัดส่วนตามการใช้น้ำประปา น้ำบาดาล หรือน้ำจากแหล่งอื่นๆ ซี่งตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย พ.ศ. 2547 อัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย แบ่งตามประเภทอาคาร 13 ประเภท ดังนี้
1.ที่อยู่อาศัยที่มีปริมาณน้ำเสียเกิน 10 ลบ.ม./เดือน คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 2 บาท/ลบ.ม. 2.สถานที่ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ สำนักงาน และที่ทำการ คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 2 บาท/ลบ.ม. 3.ศาสนสถาน สถานสาธารณกุศล สถานศึกษา คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 2 บาท/ลบ.ม. 4.โรงพยาบาล สถานพยาบาล คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 4 บาท/ลบ.ม.
5.โรงแรม คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 5 บาท/ลบ.ม. 6.ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า อาคารแสดงสินค้า คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 4 บาท/ลบ.ม. 7.ตลาด คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 4 บาท/ลบ.ม. 8.ภัตตาคารหรือร้านอาหารที่มีพื้นที่บริการรวมกันของทุกชั้นไม่เกิน 100 ตร.ม. คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 2 บาท/ลบ.ม. ภัตตาคารหรือร้านอาหารที่มีพื้นที่บริการรวมกันของทุกชั้นเกิน 100 ตร.ม คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 4 บาท/ลบ.ม. 9.สถานอาบ อบ นวด คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 4 บาท/ลบ.ม. 10.อาคารเพื่อประกอบการธุรกิจ หรือกิจการพาณิชยกรรมที่มีพื้นที่ประกอบการไม่เกิน 100 ตร.ม. คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 2 บาท/ลบ.ม. อาคารเพื่อประกอบการธุรกิจ หรือกิจการพาณิชยกรรมที่มีพื้นที่ประกอบการเกิน 100 ตร.ม. คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 4 บาท/ลบ.ม.
11.สถานประกอบการที่มีกิจการหลายประเภทอยู่ในอาคารเดียวกัน คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 4 บาท/ลบ.ม. 12.โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน 12.1 โรงงานที่มีปริมาณน้ำเสียไม่เกิน 200 ลบ.ม./เดือน คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 4 บาท/ลบ.ม. 12.2 โรงงานที่มีปริมาณน้ำเสียเกิน 200 ลบ.ม./เดือน แต่ไม่เกิน 500 ลบ.ม./เดือน คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 6 บาท/ลบ.ม. 12.3 โรงงานที่มีปริมาณน้ำเสียเกิน 500 ลบ.ม./เดือน คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 8 บาท/ลบ.ม. และ 13.แหล่งกำเนิดน้ำเสียอื่น ๆ คิดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 4 บาท/ลบ.ม.
และสถานที่รับชำระค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย คือ สำนักงานเขต 50 เขต สำนักงานใหญ่ของการประปานครหลวง และสำนักงานประปาสาขา 16 แห่ง ได้แก่ 1.สำนักงานประปาสาขาสุขุมวิท 2.สำนักงานประปาสาขาพระโขนง 3.สำนักงานประปาสาขาสมุทรปราการ 4.สำนักงานประปาสาขาแม้นศรี 5.สำนักงานประปาสาขาพญาไท 6.สำนักงานประปาสาขาทุ่งมหาเมฆ 7.สำนักงานประปาสาขาลาดพร้าว 8.สำนักงานประปาสาขานนทบุรี 9.สำนักงานประปาสาขาประชาชื่น 10.สำนักงานประปาสาขาบางเขน 11.สำนักงานประปาสาขาตากสิน 12.สำนักงานประปาสาขาบางกอกน้อย 13.สำนักงานประปาสาขาภาษี
เจริญ 14.สำนักงานประปาสาขาบางบัวทอง 15.กองประปามีนบุรี และ16.สำนักงานใหญ่ถนนประชาชื่น ซึ่งหากสรุปรูปแบบการจัดเก็บได้ก็อาจต้องแก้ไขข้อบัญญัติดังกล่าว
ขณะที่ในปัจจุบันนั้น ระบบบำบัดน้ำเสียรวมขนาดใหญ่ของกทม.ที่เปิดเดินระบบบำบัดน้ำเสียมีจำนวน 7 แห่ง ได้แก่ โรงควบคุมคุณภาพน้ำสี่พระยา รัตนโกสินทร์ ช่องนนทรี หนองแขม ทุ่งครุ ดินแดง และจตุจักร ครอบคลุมพื้นที่บริการบำบัดน้ำเสียรวม 191.74 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่รวม 20 เขตการปกครอง และมีความสามารถในการบำบัดน้ำเสียได้ 992,000 ลบ.ม./วัน คิดเป็น 42% ของปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพฯ โรงควบคุมคุณภาพน้ำขนาดเล็กที่รับโอนจากการเคหะแห่งชาติ จํานวน 12 แห่ง สามารถบําบัดน้ำเสียได้ 24,800 ลบ.ม./วัน มีค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียในอัตราเฉลี่ย 1.4 บาท/ลบ.ม. หรือ ประมาณ 1 ล้านบาท/วัน อย่างไรก็ตาม ได้มีการวางแผนดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีปัญหามลพิษทางน้ำรุนแรงต่อไป เช่น พื้นที่เขตพระโขนง คลองเตย บางนา ห้วยขวาง วัฒนา บางซื่อ บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ บางพลัด คลองสาน และธนบุรี เป็นต้น
ดังนั้นเรื่องนี้จึงถึงเวลาแล้วที่คนกรุงเทพฯจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ ร่วมสร้างเมืองให้น่าอยู่อาศัย เมื่อมีน้ำเสียเกิดขึ้นก็ต้องร่วมกันจัดการแก้ไข ถ้าคิดแต่ว่าเป็นหน้าที่ของเมืองที่ต้องจัดการฝ่ายเดียวเพราะเสียภาษีไปแล้วก็คิดได้ แต่หากคนกรุงเทพฯ ช่วยกัน การจัดการสิ่งแวดล้อมของเมืองก็จะรวดเร็วกว่าให้หน่วยงานเพียงฝ่ายเดียวจัดการ ที่สำคัญการร่วมรับผิดชอบก็จะเกิดความภาคภูมิรู้สึกเป็นเจ้าของเมืองที่สะอาดสดชื่นด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม กทม.ก็ต้องเพิ่มความเด็ดขาดเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นเมืองก็ไม่เป็นเมืองเหมือนที่วาดรูปกันไว้.....
พรสวรรค์ จรเจริญ
รายงาน...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี