ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา และ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ชวลิต ชูขจร เป็นห่วงเรื่องการประชาสัมพันธ์ผลงานของกระทรวงเป็นอย่างมาก พยายามหากลไก และช่องทางการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ เพื่อให้ข่าวสารเกี่ยวกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการฯ หลายท่าน เข้ามามีบทบาทชี้นำการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระทรวงฯ ผ่านทางคณะกรรมการโฆษกของกระทรวงฯ เสมือนว่าตนเองเป็นมืออาชีพ เช่น ให้เผยแพร่ทางโทรทัศน์สถานีและรายการที่ได้รับความนิยม ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ก็ขอเป็นหนังสือพิมพ์หัวสี หรือประชานิยม พื้นที่ข่าวเยอะ ๆ หน้าสำคัญ ๆ ไม่ใช่พื้นที่คอลัมน์เล็ก ๆ และหนังสือพิมพ์ที่คนอ่านไม่มาก เรื่องพื้น ๆ แบบนี้บรรดาเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่าง ๆ ล้วนจบด้านนิเทศศาสตร์มาจะไม่รู้เชียวหรือ........แต่เนื้อหาที่จะเผยแพร่ล่ะ....ผลงานน่ะมีไหม....จะเน้นเรื่องอะไรก็น่าจะเลือกสักเรื่องสองเรื่อง แล้วกระหน่ำซัมเมอร์เซลประชาสัมพันธ์กันไป ไม่ใช่มานั่งแถลงข่าวครั้งละ 5 เรื่อง แต่ละเรื่องมาเล็คเชอร์กันจนมึน เหมือนอย่างที่เคยทำมาแล้ว
ล่าสุดทราบมาว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ดร. อภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย มาดูแลงานด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงเกษตรฯ อีกแล้ว..... อยากจะบอกว่าการประชาสัมพันธ์จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ที่ปรึกษา ไม่ได้อยู่ที่ช่องทางที่เลือกด้วยการซื้อเวลา หรือซื้อพื้นที่ แต่อยู่ที่ผลงานซึ่งมีผลกระทบต่อ สังคม เศรษฐกิจ หรือกระทบต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ
2 - 3 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ เป็นข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และโทรทัศน์ทุกช่อง จากข่าว สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ยางพารา แรงงานประมง หรือ IUU และล่าสุด คือข่าว ที่ดิน ส.ป.ก. ที่ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา แม้จะดูว่าเป็นข่าวเชิงลบ แต่เป็นข่าวที่กระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และคนกลุ่มใหญ่ เป็นข่าวที่สื่อนำเสนอเองโดยไม่ต้องซื้อพื้นที่ หรือซื้อเวลา เพียงแต่ผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ต้องแสดงฝีมือในการแก้ปัญหาให้ได้ เพื่อที่จะได้พื้นที่ในการเสนอข่าวเชิงบวกควบคู่ไปกับข่าวลบนั้น ๆ เพราะสมัยนี้ “ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์”
โชคดีของกระทรวงเกษตรฯ ที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดถึงงานของกระทรวงเกษตรฯ อยู่บ่อย ๆ ในวาระและโอกาสต่าง ๆ โดยเฉพาะในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ทุกคืนวันศุกร์ ซึ่งเท่ากับเป็นช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่ดีมากช่องทางหนึ่ง ผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ต้องสร้างผลงานให้เข้าตานายกรัฐมนตรีให้ได้ อย่ามุ่งหวังแต่เพียงการเห็นรูป และชื่อตัวเองอยู่ในข่าว และบทความในหนังสือพิมพ์ หรือเห็นตัวเองให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ว่านั่นคือการประชาสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จ
ไม่ได้ปฏิเสธการออกสื่อของผู้บริหาร แต่การออกสื่อแต่ละครั้งต้องให้ความสำคัญกับสาระที่นำเสนอ ถ้าเห็นว่าทุกเรื่องต้องออกสื่อหมด ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่เด่นควรค่าแก่การให้ความสนใจ สู้เลือกทีละเรื่องสองเรื่องให้เป็นเรื่องเด่น เรื่องนี้สำเร็จแล้ว ค่อยหยิบเรื่องอื่นมาประชาสัมพันธ์ต่อมิดีกว่าหรือ
เอ่ยถึงรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” อดที่จะกล่าวถึง เมื่อวันศุกร์ที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ก่อนวันหยุดยาวเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ไม่ได้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดในรายการดังกล่าวแบบเดี่ยวไมโครโฟนเหมือนเดิม หลังจากรูปแบบที่มาพูดเปิดรายการแล้วโยนให้เจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้องมาพูดในประเด็นต่าง ๆ ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์มากพอสมควร รายการในวันนั้น นายกรัฐมนตรีพูดถึงกระทรวงเกษตรฯ เกือบครึ่งรายการ
นายกรัฐมนตรี บอกว่า รัฐบาลต้องการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรให้มีความมั่นคงในอาชีพ โดยให้กระทรวงเกษตรฯ เข้าไปดูแลทั้งระบบให้เป็นรูปธรรม ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง จากขั้นตอนการผลิตไปจนถึงการตลาด เรื่องปัจจัยการผลิต ทั้งสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช และเมล็ดพันธุ์ ต้องมีคุณภาพ และราคาถูก ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชที่มีราคาดีในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ใช่แห่ปลูกตามกัน เช่น ข้าวไรซ์เบอรี่ จะทำให้ราคาตกต่ำได้ถ้าผลผลิตมีมากเกินความต้องการ
เกษตรกรควรรวมพื้นที่เพาะปลูกเป็นแปลงใหญ่ เพื่อจะได้นำเทคโนโลยี เครื่องจักรกลต่าง ๆ มาใช้ในการผลิตได้ เรื่องพันธุ์พืช โดยเฉพาะ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ต้องพัฒนาให้เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง โดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์ข้าว จะให้จัดตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเพิ่มขึ้นอีก 15 แห่ง ใน 15 จังหวัด สำหรับปาล์มน้ำมัน ต้องส่งเสริมให้ปลูกเพิ่มมากขึ้นและปลูกแทนยางพาราเพื่อรองรับการนำไปผลิตไบโอดีเซล ส่งเสริมให้มีตลาดชุมชน โดยให้เกษตรกรนำผลผลิตมาจำหน่ายด้วยตนเอง เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจด้านการตลาด และตัดปัญหาพ่อค้าคนกลางออกไป
เรื่องที่นายกรัฐมนตรีไม่พูดถึงไม่ได้ คือ เรื่องที่ดินทำกิน ที่ประกาศชัดเจนว่า เมื่อเกษตรกรได้สิทธิทำกินแล้ว ต้องทำกินจริง ๆ จะนำไปขายต่อไม่ได้ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และไม่เฉพาะพื้นที่ที่กำลังเป็นข่าว แต่มีเป้าหมายจะดำเนินการใน 12 จังหวัด รวมพื้นที่กว่า 1 แสนไร่
สิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดถึงในรายการ แม้จะไม่ใช่คำสั่งโดยตรง แต่ก็เป็นการบ้านที่รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงได้ฟังแล้วคงต้องนำไปปฎิบัติ ว่าแต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดมานั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทั้งหมด รัฐนตรีปีติพงศ์ กล้าไหม..ที่จะบอกนายกรัฐมนตรีว่าสิ่งใดทำไม่ได้ และไม่น่าจะทำ
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี