ถอน‘นส.3’โบนันซ่า
ผู้ว่าฯโคราชประเดิมเชือด
สปก.ตะเพิดออกนอกพื้นที่
เกษตรขึงขังสั่งสอบทั่วปท.
ความคืบหน้าการตรวจสอบการบุกรุกที่ดินรัฐของสนามแข่งขันโบนันซ่า สปีดเวย์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สรุปพื้นที่การบุกรุกทั้งหมดมีถึง 166 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา แยกเป็นพื้นที่มีการออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก ที่กลุ่มโบนันซ่านำมาแสดงจำนวน 5 แปลง รวมเนื้อที่ 55 ไร่ 3 งาน 63 ตารางวา พื้นที่สวนป่า 35 ไร่ 2 งาน 38 ตารางวา พื้นที่ป่าสงวน 12 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา พื้นที่ปฏิรูปที่ดินในความดูแลของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร (ส.ป.ก.) 57 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา และยังบุกรุกลำรางสาธารณะอีก 4 ไร่ 43 ตารางวา
โดยเมื่อวันที่ 21 เมษายน นายธงชัย ลืออดุลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ได้ลงนามคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ก เนื้อที่กว่า 55 ไร่ ของกลุ่มโบนันซ่า ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบเรียบร้อยแล้ว ส่วนพื้นที่อื่นๆ หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลอยู่จะเป็นผู้เข้าไปดำเนินการต่อไป
ด้าน นายสุนทร กัณหาจันทร์ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่า นม.1 (ปากช่อง) กล่าวว่า จากการสำรวจในส่วนของพื้นที่ป่าพบว่า โบนันซ่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเสียดอ้า เขานกยูง และเขาอ่างหิน รวมถึงส่วนป่า รวมเนื้อที่กว่า 105 ไร่ ซึ่งได้จับกุมผู้ต้องหาส่งพนักงานสวน สภ.ปากช่อง 1 ราย ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปตรวจสอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสารต่างๆ เป็นลายลักษณ์อักษร รวมถึงการประเมินค่าความเสียหาย ซึ่งจะต้องส่งให้ส่วนกลางเป็นผู้ประเมิน เพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการทางคดี ส่วนจะมีการจับกุมใครเพิ่มนั้น เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน
พ.ต.อ.บุญเลิศ ว่องวัจนะ รอง ผบก.ภ.นครราชสีมา ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว เปิดเผยว่า คดีมีความคืบหน้ามาก และเริ่มมองเห็นความชัดเจนแล้ว โดยขณะนี้ได้ประสานขอให้หน่วยงานต่างๆ ส่งเอกสารหลักฐานยืนยันแนวเขตที่ชัดเจนพร้อมประเมินความเสียหาย มาประกอบการสอบสวน และดูว่า ใครมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร ซึ่งได้เร่งรัดพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการให้เรียบร้อยเพื่อสรุปคดีส่งอัยการพิจารณาฟ้องศาลต่อไปภายในเดือนพฤษภาคมนี้
ขณะที่ นายสมปอง อินทร์ทอง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ สปก.นครราชสีมา เข้าเจรจากับเจ้าของรีสอร์ทให้ออกจากพื้นที่แล้ว พร้อมทั้งให้ตรวจสอบการครอบครองว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์โดยชอบธรรมหรือไม่ หากไม่ชอบธรรม ก็ต้องเพิกถอนเอกสารทันที
“ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้ครอบครองที่ดินไม่ใช่เกษตรกร ใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งต่อจากนี้จะให้มีการตรวจสอบที่ดินส.ป.ก.ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขต จ.เชียงราย เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ และเลย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มนายทุนสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งเรื่องนี้ได้สั่งการให้ ส.ป.ก.ส่งทีมเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบอยู่” นายสมปองกล่าว
ส่วนกรณีบ้านพักของพิธีกรชื่อดังที่อ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ นส.3 ก นั้น ส.ป.ก.ได้สั่งการให้ตรวจสอบย้อนหลัก่อนจะครอบครองเอกสารสิทธิ์ นส.3 ว่า พื้นที่ที่ซื้อมามีปัญหาหรือไม่ และต้องมาพิสูจน์กันทางกฎหมายว่า มีเจตนาซื้อทั้งที่ทราบว่ามีปัญหาหรือไม่ หากพบว่าน่าจะมีปัญหาและยังไปซื้อแสดงว่าเจตนา แต่หากไม่ทราบแล้วซื้อ แสดงว่าผิดโดยไม่เจตนา ขณะเดียวกันต้องตรวจสอบว่า พื้นที่ดังกล่าวก่อนจะออก นส.3 ก เจ้าของเดิมได้ครอบครองมาก่อนปี 2497 หรือไม่ และทำการเกษตรอย่างต่อเนื่องหรือไม่ หากไม่ ก็ถือว่า ผิดเงื่อนไขที่ทำตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องตรวจสอบและเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
ด้าน นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบรีสอร์ทคีรีมายา บนเขาใหญ่ว่ามีการรุกพื้นที่รัฐหรือไม่ว่า ได้ให้ส.ป.ก.ในพื้นที่เข้าไปดำเนินการตรวจสอบเพื่อเกิดความชัดเจนแล้ว เพราะพื้นที่ทั้ง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีปัญหาบุกรุกที่ดินรัฐรุนแรง รวมทั้งชาวบ้านไม่ยอมมาแสดงตนรับเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 หลังจากที่กรมป่าไม้ ได้จำแนกกันพื้นที่ออกจากป่าถาวรมาให้ ส.ป.ก. และประกาศเขตปฏิรูปที่ดินในปี 2532 และ 2536 ประมาณ 3 ล้านไร่ ทั้งนี้ยังมีพื้นที่ประกาศเขตนิคมพึ่งตนเองของกรมพัฒนาและสัวสดิการสังคม กรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ให้ผู้ยากจนเข้าอยู่อาศัยในพื้นที่กว่า 3 หมื่นไร่ บริเวณลำตะคองและอำเภอใกล้เคียง อนุมัติในหลายรัฐบาล โดยมีกฏหมายของประกาศเขตนิคมขึ้นมาเองด้วยที่อนุญาตให้เปลี่ยนมือได้หลังจากผู้ถือครองนค.1มา10ปีแล้ว
“ในส่วนพื้นที่นิคมยังมีการวางแนวเขตเกินประกาศ ซึ่งอาจมีปัญหารุกล้ำพื้นที่อื่นที่เป็นของรัฐ ตรงจุดปัญหานี้ ทำให้มีการไปบุกรุกมากขึ้น ซึ่งต้องตรวจสอบอย่างละเอียดในพื้นที่และแยกมาให้ชัดว่า เป็นของหน่วยงานใด ต้องเริ่มตรวจปูพรมรื้อให้หมดโดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ๆมีปัญหาเอกสารทับซ้อนมากเพราะที่ดินมีราคาแต่อย่าหวั่นเกรงอิทธิพลให้ว่าตามกฏหมายเต็มที่” นายชวลิต กล่าว
ขณะที่ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินของคีรีมายารีสอร์ท พบว่า เป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี รวม 36 แปลง เนื้อที่กว่า 1,400 ไร่ แต่เอกสารสิทธิที่กรมบังคับคดีนำมาขายทอดตลาดดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่มีความเกี่ยวข้องกับคดียักยอกทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด (บีบีซี) ซึ่งมี นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ และ นายราเกซ สักเสนา ร่วมเป็นจำเลย
“ที่ดินดังกล่าว กรมบังคับคดี ยึดมาจากคดียักยอกบีบีซี ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถึงที่มา ในการออกเอกสารสิทธิ นส.3 ก ทั้ง 36 แปลง ก่อนที่จะนำไปจำนองกับบีบีซี เพราะในชั้นการดำเนินคดีกับบีบีซีก่อนหน้านี้พบว่า มีการออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบในเขตป่า ภูเขา ที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ แล้วนำไปจำนองเพื่อกู้เงินจากบีบีซี แต่ไม่ชำระเงินกู้ จนเป็นเหตุให้ธนาคารต้องปิดกิจการ แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบ หากตรวจสอบพบว่า การขายทอดตลาดเอกสารสิทธิที่ดินให้กับคีรีมายามีที่มาไม่ถูกต้อง ก็ต้องดำเนินการเพิกถอน พร้อมขยายผลตรวจสอบไปยังที่ดินแปลงอื่นๆที่ยึดมาจากบีบีซีด้วย”
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวต่อว่า สัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ตรวจสอบคีรีมายารีสอร์ท เพื่อเก็บรวบรวมหลักฐาน เพราะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเจ้าของเดิม นอกจากนี้ จะตรวจสอบกรณีการออกเอกสารสิทธิให้กับคีรีมายาและสนามแข่งรถโบนันซ่าสปีดเวย์ว่า มีรูปแบบเดียวกันหรือไม่ กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ หากเป็นเจ้าหน้าที่กลุ่มเดียวกันคาดว่า จะมีที่ดินหลายแปลงที่มีการกระทำผิดในลักษณะเดียวกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี