ฟังการแถลงผลงานครบรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ของท่านนายกรัฐมนตรี “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งท่านนายกฯได้ร่ายถึงงานที่ทำมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลังเข้ามานั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเต็มตัว ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการเดินหน้าประเทศไทย เพื่อวางแนวทางให้ลูกหลานของคนไทยทั้งประเทศได้กินดีอยู่ดี และมีความสามัคคีกันให้ได้เป็นหลัก
งานนี้ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้พูดถึงเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องการจัดการในเรื่องการวางระบบที่ดินทำกิน และมีการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้เป็นระบบ โดยใจความหนึ่งที่ท่านนายกฯพูดถึงคือการวางระบบเรื่องที่ดินทำกิน ซึ่งควรจะชัดเจนระหว่างพื้นที่ที่เป็นที่พักอาศัยของเกษตรกรกับที่ทำกิน ควรเป็นคนละที่กัน นั่นหมายถึงโดยสรุป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรื่องทำกิน ควรแยกให้ชัดเจนระหว่างการจัดพื้นที่พักอาศัยให้กับเกษตรกรผู้ยากไร้ที่ขาดที่ทำกิน และพื้นที่ทำการเกษตร งานนี้ต้องบอกว่าแนวทางที่ท่านนายกรัฐมนตรีชี้ชัดเจนว่า ต้องการสนับสนุนให้มีการวางระบบการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อง่ายต่อการวางแผนการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นระบบ และที่สำคัญง่ายต่อการควบคุมคุณภาพสินค้า และการวางแผนด้านการตลาด ว่ากันว่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหาสินค้าเกษตรทั้งระบบได้ในอนาคต
ซึ่งเรื่องนี้จากการพูดคุยกับอดีตข้าราชการคนหนึ่งในกระทรวงเกษตรฯ กับปัญหาที่ 6 เดือนที่ผ่านมา งานด้านการพัฒนาการเกษตร ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ท่านนายกรัฐมนตรีตั้งความหวัง เกิดจากอะไร ทั้งที่แนวคิดของท่านรัฐมนตรี “ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา” ก็ดูเหมือนว่ามาถูกทาง เพราะท่านลงมือเขียนแผนปฏิบัติการให้ชัดเจน ว่าควรเดินหน้าอย่างไร เพราะแนวคิดที่จะส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรดูเหมือนว่าจากนี้ไป จะเน้นหนักส่งเสริมแบบแปลงใหญ่ เน้นผลิตสินค้าคุณภาพ เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรแบบยั่งยืน แต่อย่างไรข้าราชการก็ยังไม่เข้าใจเสียที งานนี้ได้รับการชี้แจงว่า เขายังตามแนวทางเดิม เพราะที่ผ่านมา พวกเขาเหล่านั้น ล้วนทำงานตามรูปแบบเดิมๆ ที่นักการเมืองสั่งแล้วเดินตาม มาถึงวันนี้ให้คิดตามจึงงงๆ
เดิมระบบการพัฒนาการเกษตรที่ถูกนักการเมืองครอบงำมานาน ยึดพื้นที่หาเสียงของนักการเมืองเป็นหลัก และใครมาครองกระทรวงก็จะเอางบไปลงในพื้นที่ตนเองเสียส่วนใหญ่ เลยทำให้โครงการด้านการพัฒนาการเกษตรเป็นเบี้ยหัวแตก โดยเอากันให้ชัดคือเรื่องการที่ท่านรัฐมนตรีจะส่งเสริมให้ผลิตผักปลอดสารพิษ เพื่อจำหน่ายให้เป็นทางเลือกของผู้บริโภคตามที่ท่านรัฐมนตรีพยายามที่จะทำโครงการขึ้นมาให้ได้แต่ถึงวันนี้ ยังเดินหน้าไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้ทุ่มเงินงบประมาณไปหลายล้านบาท เพื่อฝึกอบรมให้กับเกษตรกร ปลูกผักปลอดสารพิษ ผลิตขายเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งวันนี้ แม้ท่านรัฐมนตรีจะสร้างจุดจำหน่ายให้กับเกษตรกร แต่ก็ไม่มีสินค้าเข้ามาป้อนในตลาดเปรียบเหมือนสร้างตลาด แต่ไม่มีใครนำสินค้ามาส่งตลาดก็เจ๊งไม่เป็นท่า ทั้งที่เกษตรกรบางพื้นที่เขารวมกลุ่มกันเองไม่เคยสนโครงการกระทรวงเกษตรฯเขาทำได้ดีและทำให้เห็นว่าทำได้
ปัญหาที่ว่ามา ท่านที่ประเมินเกิดจากที่ผ่านมา มีการยึดโยงโครงการกับพื้นที่นักการเมือง ที่กระจัดกระจาย โดยที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯจะทำอะไร จะตั้งงบแล้วหารด้วยพื้นที่ โดยแบ่งเป็นจังหวัด ไป อำเภอ และตำบล ผ่านหมู่บ้านสรุปว่างบที่ลงทุนไปถึงมือเกษตรกรที่เขาทำจริง หมู่บ้านละไม่กี่ราย แล้วอย่าหวังจะนำมารวมกันขายเพราะแต่ละที่ห่างไกล ที่สำคัญรวมกันไม่ได้ ทั้งหมดงบที่ลงไปสูญเปล่า ซึ่งส่วนแนวทางใหม่ที่จะทำคงจะต้องกำหนดพื้นที่ส่งเสริมให้ชัดเจนเป็นแปลงใหญ่ รวมกันทำ เน้นใกล้พื้นที่แหล่งน้ำ ใกล้กับอ่างเก็บน้ำเป็นหลัก รวมเกษตรกรร่วมไม้ร่วมมือ โดยหน่วยงานรัฐเป็นพี่เลี้ยง ไม่สนใจพื้นที่ฐานเสียงใคร เอาเกษตรกร เป็นที่ตั้ง สอนให้เขารู้จักที่ทำกิน รัฐคอยเป็นพี่เลี้ยงวางระบบการตลาด ให้สอดรับ เน้นป้อนส่งเมืองใหญ่ ที่ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อ งานนี้น่าจะไปได้ดี
สุดท้ายต้องบอกว่าถึงวันนี้ งานด้านการพัฒนาด้านการเกษตร สิ่งต้องปรับอันดับแรกคือเรื่องแนวคิดของข้าราชการ ที่มีหน้าที่ส่งเสริมหากยังยึดติดระบบเดิมๆ คอยทำตามคำสั่งนักการเมือง กระจายงบ เอาใจนักการเมือง จนเป็นเบี้ยตัวแตก โดยไม่ยอมดูเรื่องผลสำเร็จ ก็อย่าหวังจะแก้เรื่องปัญหาสินค้าเกษตร ลุล่วงไปได้ ยังไงลองไปคิดกันดูนะขอรับ ว่าจะเดินหน้าอย่างไร เพราะทุกอย่างมีทางออกเสมอ หากยอมรับความจริง
ดอกปีป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี