เสนอยกรุกป่าปากช่อง
วาระแห่งชาติ
พร้อมจัดเวทีร่วมหารือ
สปก.เร่งสางปัญหา
บี้สอบที่ดินรายใหญ่
เหตุนายทุนจ้องฮุบ
พ.อ.สมหมาย บุษบา หัวหน้าคณะทำงานเพื่อความมั่นคง กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยเมื่อวันที่ 25 เมษายน ถึงปฏิบัติการทวงคืนพื้นที่ป่าและที่ดินสาธารณะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า ในส่วนของพื้นที่สาธารณะที่เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ ได้มีการตรวจสอบแล้วประมาณกว่า 100,000 ไร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.นครราชสีมาตรวจสอบไปแล้วประมาณ 90,000 ไร่กระจายทุกอำเภอ ส่วนป่าสงวนแห่งชาติได้เข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ อ.ครบุรี ได้เนื้อที่กลับมาเกือบ 10,000 ไร่
ส่วนจังหวัดอื่นๆ เช่น จ.เลย ลงพื้นที่ตรวจสอบรวม 6 ครั้ง ได้ดำเนินการนำกลับมาเป็นของส่วนรวมเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว โดยที่ จ.นครราชสีมา บ้านหนองตะไก้ อ.สูงเนิน ประมาณ 7,000 ไร่ พื้นที่ อ.ด่านขุนทด ประมาณ 5,000-6,000 ไร่ จุดอื่นๆ อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยพบว่าส่วนใหญ่เป็นของกลุ่มนายทุน
สัปดาห์หน้าลงพื้นที่ปากช่อง
พ.อ.สมหมาย กล่าวอีกว่า ในการตรวจสอบพื้นที่ อ.ปากช่อง เริ่มต้นจาก เขาหนองเชื่อม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง, พื้นที่สวนป่าใน อ.ปากช่อง ซึ่งเป็นกลุ่มทุนรายใหญ่เช่นกัน ต่อมาเป็นสนามแข่งรถของโบนันซ่า โดยการเข้าตรวจสอบจะมีหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ร้องขอเข้ามา และได้รับการประสานมาว่าสัปดาห์หน้าหน่วยงานต่างๆ จะลงพื้นที่ตรวจสอบใน อ.ปากช่องอีก แต่ยังไม่ระบุพิกัดหรือสถานที่จะเข้าไป
พื้นที่ปากช่องเดิมเป็นป่าถาวร
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพื้นที่ อ.ปากช่องโดยรวม เดิมทีพื้นที่เป็นป่าไม้ถาวรประกาศคลุมทั้งอำเภอ สมัยปี 2500 ยังเป็น ต.ปากช่องจุดตรงนั้นเป็นพื้นที่มีภัยธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น มียุงลายชุกชุม มีสัตว์ร้าย การเข้าไปทำกินค่อนข้างยาก เพราะเป็นป่าดงดิบ มีไข้มาลาเรียชุกชุมมาก ต่อมาได้มีการจำแนกออกเป็นป่าสงวนแห่งชาติและบางแปลงยกให้นิคมสร้างตนเองลำตะคองเอาไปจัดสรรให้กับชาวบ้านได้อยู่อาศัยทำกินประมาณกว่า 2 แสนไร่ แต่ยังเป็นรอยริ้วป่าอยู่ ต่อมาเมื่อป่าถูกเพิกถอนสภาพเนื่องจากเสื่อมโทรมจึงมีการยกพื้นที่ให้ ส.ป.ก. ไปปฏิรูปให้เกษตรกร ฉะนั้นพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่ป่าจึงมีไม่มาก ส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาลปากช่องปัจจุบัน แต่ถ้าเลยแนวนิคมฯ ไปแล้วก็เป็นเขตป่าไม้เดิม อาจจะเป็นป่าเขาเสียดอ้า ป่าเขาใหญ่ หรือป่าเขาภูหลวง หรืออุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นต้น
จี้เช็คเอกสารสิทธิถูกต้องหรือไม่
“ฉะนั้นผู้ที่มีเอกสารสิทธิ์ทำกิน นอกเหนือจากเขตเทศบาลปากช่องแล้วก็มีบ้างเล็กน้อยไม่ใช่ไม่มีเลย แต่ปัจจุบันผู้ที่เข้าไปทำกินและประกอบการก็อ้างกันว่ามีโฉนด มีเอกสารสิทธิ์ทำกินเต็มไปหมด ก็จะต้องไปดูที่มาของมันว่ามาอย่างไร หน่วยงานรับผิดชอบก็ต้องไปทบทวนดูว่าเอกสารสิทธิดังกล่าวได้มาถูกต้องหรือไม่ เพราะที่มาของโฉนดมาได้หลายทาง เช่น ที่นิคมฯ กว่า 2 แสนไร่ก็สามารถพัฒนาเป็นโฉนดได้เช่นกันแต่พวกนี้จะถูกสลักหลังมีโฉนด 5 ปีถึงจะโอนเปลี่ยนมือได้ แต่วัตถุประสงค์ของการให้โฉนดบริเวณนั้นคือได้มา จาก พ.ร.บ.เพื่อการยังชีพเอาไปครองชีพโดยปกติวิสัยของมนุษย์ คือเอาไปทำการเกษตร ไม่ได้เอาไปเปลี่ยนทำกิจการขนาดใหญ่โตหรือสนามกอล์ฟ” พ.อ.สมหมาย กล่าว
เสนอยกเป็นวาระแห่งชาติ
พ.อ.สมหมาย กล่าวว่า กรณีการบุกรุกพื้นที่ป่าที่ที่สาธารณะต่างๆ ใน อ.ปากช่องนั้น ควรจะนำมาเป็นวาระแห่งชาติได้แล้ว คือรื้อระบบผิดถูก ชอบหรือไม่ชอบทั้งหมดใน อ.ปากช่อง และถ้าพบว่าได้เอกสารสิทธิ์มาไม่ชอบแล้วจะได้สถานะอะไรถึงจะอยู่ในพื้นที่ได้ โดยไม่ต้องมาหวาดระแวงว่า จะถูกหรือไม่ถูก ถ้าตนเองเป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวจะยินยอมให้ตรวจสอบเพราะจะได้รู้ที่มาที่ไปให้ชัดเจน เพราะวันหนึ่งในอนาคตอาจจะถูกตรวจสอบว่าไม่ชอบก็จะทำให้เราเสียหายได้ เพียงแต่หน่วยงานเจ้าภาพมีหลายหน่วย ไม่ว่าที่ดินที่ ส.ป.ก.รับไปแล้วยังไม่ได้ไปจัดสรรหรือป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่าต่างๆ ที่ถูกถือครองอยู่ ซึ่งหน่วยงานต่างๆ เหล่านี้ควรจัดเวทีหารือร่วมกันและหาทางออกของปัญหาไม่ใช่ให้หมักหมมต่อไป
สปก.ส่งรายชื่อรุกป่ารอบ2
นายสรรเสริญ อัตจุตมานัส เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) เปิดเผยว่าได้ส่งรายชื่อผู้บุกรุกพื้นที่ ส.ป.ก.รายใหญ่ รอบที่2 ให้กับฝ่ายความมั่นคง โดยมีทีมเฉพาะกิจของ ส.ป.ก.ร่วมตรวจสอบอย่างเข้มข้น พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากที่ ส.ป.ก.ได้รายชื่อและชี้เป้าในพื้นที่ไปให้รอบแรกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยจะส่งผลประเมินการปูพรมตรวจสอบปัญหาการถือครองพื้นที่ส.ป.ก.ผิดกฏหมายทั่วประเทศ เสนอ นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรฯในต้นเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อสรุปปัญหาอุปสรรค เร่งหาทางออก และนำที่ดินมาคืนให้เกษตรกรทุกตารางนิ้ว
สั่งลงพื้นที่ลุยรื้อสปก.
“ส.ป.ก.เร่งประเมินผลการตรวจสอบทุก 15 วันเพราะปัญหาสะสมมายาวนาน ได้สั่งลงพื้นที่ลุยรื้อพื้นที่ ส.ป.ก.ที่มีเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 รวม 32 ล้านไร่ และพื้นที่ ส.ป.ก.ที่ยังไม่จัดสรรให้เกษตรกรเข้าทำกิน เกือบ 10 ล้านไร่ และในส่วนที่มีปัญหาคาบเกี่ยวกรมป่าไม้ ต้องกันคืนให้กรมป่าไม้อีก 6 ล้านไร่ตามข้อตกลงที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตรสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ และนายปีติพงศ์ เซ็นเอ็มโอยูร่วมกันเพื่อส่งคืนพื้นที่ให้กรมป่าไม้ไปดูแลให้กับมามีสภาพเป็นป่าไม้ที่สมบูรณ์ต่อไป” นายสรรเสริญ กล่าว
ชี้ที่ดินรัฐถูกบุกรุกมายาวนาน
นายสรรเสริญ กล่าวว่า ตนได้เคยทำวิทยานิพนธ์ สรุปปมปัญหามาจากที่ดินรัฐถูกบุกรุกและไม่มีเอกสารสิทธิชัดเจน โดยเฉพาะพื้นที่ป่าทั่วประเทศ 320 ล้านไร่ ถูกบุกรุกและเข้าจับจองมือเปล่ามาอย่างต่อเนื่องจนกลายสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรมและต้องจำแนกพื้นที่ป่ามาเพื่อจัดการจัดสรร 156 ล้านไร่ และกันพื้นที่ป่าถาวร164 ล้านไร่เป็นเขตหวงห้ามของรัฐ ซึ่งระหว่างนั้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรมช.เกษตรฯได้ออกพรฎ.ประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน ในปี 2530 และรัฐบาลต่อมาประกาศเขตส.ป.ก.เรื่อยมาจนถึงปี 2536 คลุมพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมอีกชั้นทั่วประเทศ กว่า 40 ล้านไร่ ซึ่งในช่วงนั้นกรมที่ดินได้มีการออกเอกสารสิทธิที่ดินหรือ สค.1ให้กับชาวบ้านที่บุกรุกป่าและอยู่มาก่อนปี 2497 โดยใช้แผนที่ที่ดินแปลงรูปลอย ใช้วิธีเดินสำรวจหัวไร่ปลายนาตามมาตรา27ตรี ออก สค.1และขึ้นเป็น นส.3ก.มาเป็นโฉนด
บี้ตรวจสอบที่ดินรายใหญ่
นายสรรเสริญ กล่าวว่าในปัจจุบันพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญยังพบการถือครองสค. 1อยู่จำนวนมากเช่นภูเก็ต โคราช เชียงใหม่ เชียงราย เพชรบูรณ์ เลย เพราะเป็นแหล่งที่นายทุนสนใจเป็นพิเศษ ดังนั้นการออกนส.3 ก.โดยการเดินสำรวจโดยเฉพาะพื้นที่ตั้งรีสอร์ท โรงแรม หมู่บ้านจัดสรร ที่สามารถรวบรวมเนื้อที่เป็นร้อยไร่พันไร่ เช่นโบนันซ่า คีรีมายาและรายใหญ่อื่นๆโครงการมูนแดนซ์ บ้านพักของพิธีกรดัง ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบการได้มาของโฉนดโดยเร็ว ซึ่งกรมที่ดิน ต้องไปดูหลักฐานมีที่มาโดยชอบหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี