หลังจากที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ไม่สามารถให้สมาชิกเบิกถอนเงินได้ตามปกติ ขณะเดียวกันกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฟ้องร้องและยึดทรัพย์นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ประธานคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ด้วยข้อหายักยอกทรัพย์ รวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการถึงอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ให้พิจารณาถอดถอนคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นชุดที่ 29 ทั้งชุด ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์
กระทั่งศาลล้มละลายกลางสั่งให้ตั้ง สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูตามที่ร้องขอ เนื่องจากคณะกรรมการดำเนินการและบุคคลากรมีความรู้ความสามารถในการบริหารงานและดำเนินกิจการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ลูกหนี้ เป็นอย่างดี ตามคุณสมบัติ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 90/3
สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นพัฒนามานาน 30 ปี จากสมาชิก 22 คน ในปี 2526 ปัจจุบันมีมากกว่า 50,000 คน ทุนเรือนหุ้นจาก 1,260 บาท เพิ่มเป็นกว่า 4,000 ล้านบาท และทุนดำเนินงานทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท แต่การบริหารงานในสหกรณ์ยังไม่สอดคล้องกับการขยายตัวและการพัฒนาทางธุรกิจของสหกรณ์เท่าใดนัก ทั้งคณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ จึงส่งผลให้สหกรณ์ประสบปัญหาการบริหารงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการบริหารสภาพคล่องและการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการจึงจำเป็นต้องตระหนักกับการบริหารงานเชิงระบบให้มากยิ่งขึ้น สืบเนื่องจากการขาดความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในการบริหารงาน ทำให้ระบบการบริหารจัดการภายในสหกรณ์ด้อยประสิทธิภาพ จนนำไปสู่การขาดความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ จากสมาชิกและบุคคลภายนอกที่ทำธุรกรรมทางการเงินกับสหกรณ์ ส่งผลให้สมาชิกจำนวนมากมายื่นความจำนงขอถอนเงินฝาก และขอลาออกจากการเป็นสมาชิก ทำให้มีผลต่อสหกรณ์
สำหรับแผนฟื้นฟูสหกรณ์ มีกรอบระยะเวลาจัดทำแผน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น ภายใน 3-6 เดือน, ระยะกลาง ภายใน 6-12 เดือน และระยะยาว ภายใน 12-24 เดือน โดยมีเป้าหมายที่จะให้บริการทางการเงินแก่สมาชิกและเครือข่ายสหกรณ์พันธมิตรได้เป็นปกติภายใน 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม ในรายงานแผนฟื้นฟูได้รวบรวมข้อมูลสมาชิกที่ได้ยื่นความประสงค์ขอถอนเงินฝากและลาออก ดังนี้ การเบิกถอนเงินฝากและเงินค่าหุ้น ซึ่งระบุในแผนฟื้นฟูว่าได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการดำเนินการในวันที่ 8 สิงหาคม 2556 มีการกำหนดเงื่อนไขดังนี้ เงินฝากออมทรัพย์/ออมทรัพย์พิเศษ เงินฝากต่ำกว่า 200,000-500,000 บาท ให้ถอนได้ร้อยละ 10 ของยอดเงินฝากสุทธิในบัญชีของแต่ละราย เงินฝากตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ให้ถอนได้ร้อยละ 10 ของยอดเงินสุทธิในบัญชีแต่ละราย แต่ไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท อนุญาตให้สมาชิกรายหนึ่งๆ ถอนเงินฝากออมทรัพย์ได้ไม่เกินเดือนละ 2 ครั้งต่อหนึ่งบัญชี
เงินค่าหุ้น สมาชิกที่แจ้งขอถอนเงินค่าหุ้น และมีบัญชีเงินฝากกับสหกรณ์ด้วย จะพิจารณาถอนเงินฝากออมทรัพย์ก่อน ให้ปฏิบัติตามเกณฑ์การถอนจนกว่าเงินในบัญชีจะหมด เมื่อถอนเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์หมด สหกรณ์ “อาจจะ” พิจารณาถอนเงินค่าหุ้นเป็นลำดับต่อไป ซึ่งการพิจารณาให้ถอนเงินค่าหุ้น ให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสหกรณ์ข้อที่ 41 และ 42 เป็นสำคัญ
นายโอภาส กลั่นบุศน์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีสหกรณ์ 7 ประเภท ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง (3 สหกรณ์นี้อยู่ในภาคการเกษตร) สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์บริการ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน (4 สหกรณ์นี้อยู่นอกภาคการเกษตร) รวมประมาน 8000 กล่าวสหกรณ์ มีสมาชิกอยู่ 11,200,000 คน และมีทุนดำเนินงานอยู่ 2.25 ล้านล้านบาท มีเงินฝากในระบบ 770,000 ล้าน หากย้อนกลับไปดูเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่มีสมาชิกอยู่ประมาน 5หมื่นกว่าคน ความเสียหายประมาณหมื่นกว่าล้าน และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มีอีก 76 สหกรณ์ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ในการที่ไปทำธุรกรรม มีสมาชิกประมาน 3 แสนคน มีเงินฝากประมาณ 7,700ล้านบาท แต่ว่าสหกรณ์ 76 แห่งมีเงินฝากจากสมาชิกอยู่ประมาน 80,200 ล้านบาท ก็ประมาน 10% เพราะฉะนั้นอีกกว่า 8 พันสหกรณ์ก็ไม่เกี่ยวข้อง ฉะนั้นยืนยันว่าในระบบใหญ่มันยังสามารถเดินไปได้ตามปกติ สหกรณ์ที่เค้าไม่ได้มีข้อผูกพันกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นเค้าก็ดำเนินการตามปกติ
“ยืนยันว่าระบบสหกรณ์เป็นระบบที่ดี ระบบที่ต้องการช่วยเหลือพี่น้องสมาชิกที่เป็นคนในกลุ่มเดียวกัน ในอาชีพเดียวกันในพื้นที่ ตำบล อำเภอ เดียวกัน ที่มีความเดือดร้อนเหมือนกันมารวมกลุ่มกันตั้งสหกรณ์และก็ดูแลธุรกิจสหกรณ์ร่วมกัน เพราฉะนั้นก็เป็นระบบที่ดีเป็นการช่วยเหลือของประชาชนหรือคนที่มีอาชีพเหล่านั้น แต่มีบางแห่งบ้างที่ระบบมันดี แต่ว่าคนบริหารในระบบ ทำให้ระบบมันเสียหาย อย่างไรก็ตามเป็นหน้าที่ของ กรมส่งเสริมสหกรณ์จำเป็นจะต้องป้องกันสิ่งเหล่านี้ให้เข้มงวดมากขึ้น คือ ส่งเสริมสหกรณ์ให้มีศักยภาพ การบังคับใช้กฎหมาย” นายโอภาส กล่าว
การบังคับใช้กฎหมายโดยใช้กลุ่มตรวจการสหกรณ์ก็จะเข้าไปเข้มข้นมากขึ้น สหกรณ์ไหนบ้างที่อาจจะมีปัญหาหรืออาจจะมีการทำผิดระเบียบ ผิดวัตถุประสงค์ ก็จะเข้าไปตรวจมากขึ้น การเข้าไปเราไม่ได้ไปเพื่อว่าจะไปจับผิด แต่ไปเหมือนพี่เลี้ยงไปคอยดูแลว่าอันไหนที่ไม่เข้าใจหรือผิด ก็จะคอยบอกให้ป้องกัน ระยะยาวก็คงต้องสอนให้มีธรรมาภิบาล
ขณะนี้ได้ร่วมมือกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ลงมาจัดระดับความเสี่ยงของสหกรณ์ดูว่า มาตรการไรบ้างที่จะมาดูแล้วว่าจัดระดับความเสี่ยงสหกรณ์แล้วว่าเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย เพื่อป้องกันไม่ไห้สหกรณ์เหล่านั้นไปลงทุนมากขึ้น ถ้าจะมาลงทุนจะต้องระมัดระวังมากขึ้น ถ้าสหกรณ์ดีในภาคเกษตรหรืออื่นๆเราก็ต้องสนับสนุนให้เค้าแข็งแรงมากขึ้น ดูแลเรื่องอุปกรณ์เรื่องการสนับสนุนเงินทุน เรื่องวิชาความรู้ เรื่องการสร้างเครือข่ายให้เข้มข้นมากขึ้น อันนี้คือหลักๆ ก็ป้องกัน แก้ไข และก็เฝ้าระวังและก็สนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าอันนี้คือสิ่งที่เราต้องทำมากขึ้นต่อแต่นี้ไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี