ทุกวันนี้ปัจจัยที่กระทบต่อต้นทุนการผลิตของเกษตรกรมากที่สุดคือ ค่าปุ๋ยเคมีและสารเคมี คิดเป็นต้นทุนมากกว่า 40% ของต้นทุนทั้งหมด และอีก 30% เป็นค่าแรงงาน ถึงแม้ว่าปัจจุบันราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาปุ๋ยเคมีก็ยังไม่ได้ปรับลดตามลงไป ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งศึกษาพิจารณาเรื่องราคาปุ๋ยให้สอดคล้องกับราคาน้ำมัน แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะออกมาในทิศทางใดและเมื่อไร ทั้งนี้ เกษตรกรควรต้องพึ่งพาตนเองในการลดต้นทุน ซึ่งแนวทางหนึ่งคือลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมีหันมาพึ่งพาปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ที่สามารถผลิตได้จากวัสดุเหลือใช้ในไร่นานั่นเอง
นายอำนวย ดำช่วย หมอดินอาสาประจำตำบลหานโพธิ์ อำเภอชัยสน จังหวัดพัทลุง เจ้าของจุดเรียนรู้การพัฒนาที่ดินประจำตำบล กล่าวว่า ตนประกอบอาชีพเกษตร ทำสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าว ไม้ผล พืชผัก โดยอาศัยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่ผลิตขึ้นมาใช้เองเป็นระยะเวลากว่า 20 ปีแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ก็ทำการเกษตรแบบพึ่งพาแต่ปุ๋ยเคมีมานาน ซึ่งผลปรากฏว่าใช้ไปนานดินเสื่อมโทรม หน้าดินแข็ง มีปัญหาต้นพืชไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ผลผลิตตกต่ำ ที่สำคัญขายผลผลิตได้ก็ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเพราะต้นทุนสูงมากโดยเฉพาะค่าปุ๋ยเคมี ช่วงนั้นเจ้าหน้าที่จากสถานีพัฒนาที่ดินพัทลุง สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 12 กรมพัฒนาที่ดิน ได้เข้ามาให้ความรู้เรื่องการปรับปรุงบำรุงดิน และการใช้ผลิตภัณฑ์สารเร่งพด. ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ก็ทดลองทำการปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ของตนเองและผลิตปุ๋ยใช้เองในแปลง ซึ่งการปรับปรุงดินด้วยสารอินทรีย์จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการฟื้นฟู แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานับว่าคุ้มค่ามาก
โดยตนได้ปรับปรุงสูตรปุ๋ยอินทรีย์ให้เหมาะสมกับทุกสภาพดินและพืชทุกชนิด ที่สำคัญยังได้ผสมระหว่างปุ๋ยหมักที่ผลิตจากวัตถุดิบที่เป็นวัสดุเหลือใช้ในไร่นา หรือที่หาได้ในท้องถิ่น อย่างมูลสัตว์ ซึ่งที่พัทลุงก็มีมูลโคนมจำนวนมาก ทลายปาล์ม ขี้เถ้ายางพาราซึ่งเป็นแหล่งโพแทสเซียม สิ่งเหล่านี้หาได้ง่ายในท้องถิ่นก็จะนำมาใช้ได้ทั้งหมด มาผสมกับสารเร่งพด.1 จากนั้นก็นำน้ำหมักชีวภาพจากสารเร่งพด. 2 มารดที่กองปุ๋ยหมัก และใส่สารเร่งพด. 3 เพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชเข้าไปด้วย จนได้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่ประหยัดต้นทุนและประหยัดเวลาในการดำเนินการ เพราะถ้าต้องแยกใช้ปุ๋ยหมักครั้งหนึ่งและต้องนำน้ำหมักชีวภาพไปรดที่ต้นพืชอีกครั้งก็เป็นการเสียเวลา และเสียค่าแรงเพิ่มขึ้นซึ่งทุกวันนี้แรงงานก็หายากด้วย ดังนั้นก็ทำให้เสร็จในขั้นตอนเดียวเลย
ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผลิตขึ้นมาสามารถนำไปใช้กับพืชได้หลากหลายชนิด อย่างที่ใช้กับต้นยางพารา ใช้ปุ๋ยอินทรีย์นี้ไปประมาณ 1 เดือนก็เห็นผลชัดเจนคือค่าเปอร์เซ็นต์เนื้อยางแห้งในน้ำยางสด (ค่า DRC) เพิ่มขึ้น โดยถ้าใช้ปุ๋ยเคมีเคยได้ค่า DRC อยู่ที่ไม่เกิน 27-32% ตอนนี้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 44% แต่การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ต้องยอมรับว่าต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่าปุ๋ยเคมี และที่สำคัญต้องปล่อยสวนให้รกนิดหน่อยอย่าให้โล่งเตียน เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ให้เหมาะสม เมื่อใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไปในดินจะทำให้จุลินทรีย์ขยายอยู่ในดินสร้างอาหารให้กับพืช พืชก็จะเจริญเติบโตดีขึ้นด้วย ส่วนการใช้กับสวนปาล์มน้ำมันนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตอนใช้สารเคมีจะได้ผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3,500-4,000 กก.ต่อไร่ต่อปี หลังจากใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 6,300 กก.ต่อไร่ต่อปี ที่สำคัญสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี เนื่องจากปุ๋ยเคมีจะออกฤทธิ์ในระยะสั้น เวลาใส่ปุ๋ยเคมีก็จะออกดอกตัวเมีย พอไม่ใส่ปุ๋ยก็ออกดอกตัวผู้ แต่การใช้ปุ๋ยอินทรีย์จะอยู่ในดินตลอดเวลาพืชได้กินปุ๋ยต่อเนื่องไม่มีช่วงจังหวัดหยุด ทำให้ออกลูกต่อเนื่อง นาข้าวก็เช่นกัน แม้ว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวนั้นถ้ามองแบบผิวเผินอาจจะเห็นว่ารวงข้าวน้อยกว่าตอนใช้ปุ๋ยเคมี แต่ถ้าไปสังเกตดูจะพบเมล็ดข้าวลีบลดลง ก็หมายถึงผลผลิตที่มีคุณภาพมากขึ้น
“แม้ต้นทุนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ จะสูงกว่าปุ๋ยเคมีเล็กน้อยในช่วงแรกเนื่องจากต้องใช้ปริมาณมากถึงจะเห็นผล แต่ถ้าเปรียบเทียบต้นทุนต่อหน่วยกก.ซึ่งผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวก็นับว่าคุ้มค่าและต้นทุนถูกลงมาก ยิ่งไปกว่านั้นปุ๋ยอินทรีย์ช่วยปรับปรุงบำรุงดิน ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์เมื่อดินดีปลูกอะไรก็ให้ผลดีหมด อย่างไรก็ตาม แนะนำเกษตรกรให้ลองทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นเพื่อลดต้นทุน ท่านใดสนใจก็สามารถเข้ามาเรียนรู้วิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์ได้ที่จุดเรียนรู้แห่งนี้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ติดต่อได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 089-8695964 ซึ่งจากประสบการณ์การทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองมากว่า 20 ปี ขอยืนยันว่าใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างเดียวไม่พึ่งพาเคมีเลยก็สามารถทำให้พืชเจริญเติบโตให้ผลผลิตที่คุ้มค่าต่อการลงทุนได้” นายอำนวย กล่าวทิ้งท้าย
จะเห็นได้ว่าปัจจุบันราคาสินค้าเกษตรมีความผันผวนเพราะมีปัจจัยภายนอกเป็นตัวชี้นำ ดังนั้น การจะแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนเกษตรกรก็ต้องหันกลับมาที่การลดต้นทุนการผลิต เพราะเป็นปัจจัยที่ขึ้นอยู่กับเกษตรกรเอง ยิ่งลดต้นทุนได้มากเท่าไร ส่วนต่างของผลกำไรก็จะเพิ่มขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี