จิ๋วโผล่โวยใส่ร้าย
ปัดเอี่ยวบึ้ม‘สมุย’
ผบ.ตร.การันตีชัด
เกี่ยวข้องการเมือง
ที่ห้องสันติภาพ โรงแรมลีการ์เดนส์พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อเย็นวันที่ 27 เมษายน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ได้พบปะกับสมาชิก สมาคมปิยะมิตร ซึ่งเป็นกลุ่มอดีตโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา ที่วางอาวุธมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เมื่อครั้งที่ พล.อ.ชวลิต เป็นผู้บัญชาการทหารบก( ผบ.ทบ.)
พล.อ.ชวลิต ได้กล่าวถึง คดีคาร์บอมบ์ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล อ.สมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่า เจ้าหน้าที่ ทั้งกองทัพ และ ตำรวจ ต้องแสวงหาข้อเท็จจริง ว่าเป็นการกระทำของ คนกลุ่มไหน ตนเห็นว่าวันนี้ มีข่าวที่สับสน และ ใส่ร้ายป้ายสี โดยไม่มีข้อเท็จจริง แม้แต่ตนเอง ก็ถูก ใสร้ายป้ายสี ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
“สิ่งที่ เจ้าหน้าที่ต้องเร่งดำเนินการกับเรื่องนี้คือ ถ้าเป็นการกระทำของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน รัฐบาลต้องเร่งป้องกัน และต้องใช้การ เจรจา เพื่อทำความเข้าใจ และให้ยุติการ ก่อเหตุ อย่างที่ ผมเองเคยทำสำเร็จ ในการนำ โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา ให้วางอาวุธ และเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยมาแล้ว”พล.อ.ชวลิต ระบุ
ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่าคดีบึ้มห้างสรรพสินค้าที่เกาะสมุย นั้นศาลจังหวัดยะลาได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาแล้ว 5 คน ซึ่งชุดสืบสวนอยู่ระหว่างเร่งรัดติดตามตัว โดยเหตุดังกล่าวในข้างต้นได้ตั้งเอาไว้ 3 ประเด็น คือ การก่อความไม่สงบภาคใต้ เรื่องการเมือง และการขัดแย้งส่วนตัวด้านธุรกิจ ล่าสุดก็มีการตัดประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปเหลือเพียงประเด็นทางการเมืองอย่างเดียว
ผบ.ตร. ยังกล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์คาร์บอมบ์ที่สมุยทำให้ทราบพฤติกรรมของคนร้ายว่ามีการปรับเปลี่ยนยุทธวิธี ใช้ความแยบยลซับซ้อนในการก่อเหตุมากขึ้นนับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องให้ความสำคัญและต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในวันที่ 28 เมษายนนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 11 ปี “กรือเซะ ” ถึงแม้การข่าวยังไม่มีการเตรียมก่อเหตุความไม่สงบ แต่ทุกฝ่ายจะประมาทไม่ได้
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้ต้องหาคดีบึ้มห้างสรรพสินค้าที่เกาะสมุย ถูกออกหมายจับ ตามพรก.ฉุกเฉิน โดยศาลจังหวัดยะลาได้อนุมัติหมายจับเมื่อวันที่ 23 เมษายน ซึ่งทั้ง 5 ราย ประกอบด้วย นายอัสมีน กาเต็มมาดี อายุ 27 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง อยู่บ้านเลขที่ 6 ถ.นาเกลือ ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี นายฮากีม ดอเลาะ อายุ 31 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง บ้านเลขที่ 35/1 ม.1 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี นายมูหาหมัดยากี สาและ อายุ 34 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง บ้านเลขที่ 63 หมู่ 10 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา นายอับดุลเลาะ สาแม อายุ 25 ปี สัญชาติไทย บ้านเลขที่ 8/2 ม.4 ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และ นายอัมมัร แวดาราแม อายุ 27 ปี สัญชาติไทย บ้านเลขที่ 280 ม.1 ต.ยามู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสามารถจับกุมตัวได้แล้วบางคน ขณะนี้อยู่ในการควบคุมของทหาร
อย่างไรก็ตาม พ.อ.อิศรา จันทะกระยอม รักษาการ ผบ.กรมทหารพรานที่ 41 ได้ปฎิเสธข่าวทหารได้จับตัวผู้ต้องหาที่ออกหมายจับ 5 รายไปควบคุมตัวที่ศูนย์ซักถาม กรมทหารพรานที่ 41 ไว้แล้ว แต่ยอมรับว่าได้ควบคุมผู้ต้อสงสัย คือ นายคอศซาฟี ดือเระ และ นายมูหาหมัดยากี สาแหละ ซึ่งอยู่ในขบวนการซักถาม โดยทั้ง 2 ราย ยังให้การปฏิเสธ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัส เกาะสมุย แต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อ เพราะทั้งสองคนมีประวัติในการ ก่อเหตุหลายพื้นที่ ทั้งใน จ.ยะลา และ ปัตตานี
โดยเฉพาะนายมูหาหมัดยากี นั้น เจ้าหน้าที่เคยจับกุมในข้อหา ร่วมกันฆ่าแล้วเผานายมนูญ ศรแก้ว ผ.อ.โรงเรียนในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อปี 2550 แต่ในกระบวนยุติธรรม ไม่มีพยาน หลักฐานเพียงพอ จึงสู้คดีพ้นข้อหา ซึ่งจากการสืบสวนในเชิงลึก พบว่ามีความสะมพันกับกับนายอุบดุล สาแม หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ถูกออกหมายจับ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นมือประกอบระเบิดในครั้งนี้ โดยมีพยาน หลักฐานที่เชื่อได้ว่า ระเบิดที่ใช้ในการทำเป็น”คาร์บอมบ์” ประกอบในพื้นที่ จ.ปัตตานี ไม่ได้มีการประกอบในระหว่างทาง ในเขต จ.นครศรีธรรมราช อย่างที่ เจ้าหน้าที่สันนิฐานในครั้งแรก
ในขณะที่ พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจ หน้าชุดในการสืบสวนหาคนร้ายและรถยนต์ที่ใช้ในการก่อเหตุ ได้เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้พบรถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค ที่ อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ทำให้การ ติดตามหารถยนต์ที่เหลืออีก 3 คัน คือ รถยนต์กระบะมิตซูมิชิ ไตรตัน รถยนต์กระบะอีซูซู ดีแม็กซ์ และรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค มีความแคบเข้า โดยขณะนี้รถยนต์ที่เหลืออีก 2 คัน อยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัด คืน สงขลา ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส ไม่จังหวัดใด ก็จังหวัดหนึ่ง ซึ่ง ได้มีการ หาข่าว ในเชิงลึก ของที่ซ่อน โดยเชื่อว่า มีการนำไปดัดแปลงในเรื่องของสี และทะเบียนปลอม
ในส่วนข้อสงสัยที่ทะเบียนปลอมของรถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค ที่พบที่ อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ตรงกับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ของเจ้าของรถยนต์ในพื้นที่ อ.ป่าบอนนั้น พล.ต.ท.สุชาติ เปิดเผยว่า เป็นการตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีเบื้องหลัง โดยมีคนในพื้นที่ จ.พัทลุง อยู่ในขบวนการก่อเหตุครั้งนี้ เพราะทะเบียนรถ ตรงกันทั้ง หมวดอักษร และตัวเลข ซึ่งไม่น่าเป็นการทำป้ายทะเบียนปลอมด้วยความบังเอิญ จึงได้ประสานงานกับ ชุดสืบสวนสอบสวนของ ภ.จว.พัทลุง ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง
มีรายงานว่าสำหรับการสืบสวนในเชิงลึกของ หน่วยข่าวความมั่นคง ซึ่งได้มีการเดินทางไปพบกับ แกนนำ ขบวนการบีอาร์เอ็น ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยแกนนำของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็นโคออดิเนต ได้เปิดเผยกับ หน่วยงานความมั่นคงว่า ไม่ได้เป็นผู้สั่งการ ให้ แนวร่วม ที่อยู่ภายในการ สั่งการ ของ บีอาร์เอ็น ในต่างประเทศดำเนินการก่อเหตุที่เกาะสมุย เนื่องจาก บีอาร์เอ็น ได้มีการ รับปากกับ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กองทัพไทย ที่เดินทางไปประสานงานกับ บีอาร์เอ็น ว่า ระหว่างที่มีการเตรียม พบปะพูดคุย 3 ฝ่าย ที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ บีอาร์เอ็น จะไม่ก่อเหตุกับ เป้าหมายที่เป็น พลเรือน และเป้าหมายอ่อนแอ
โดยบีอาร์เอ็น เชื่อว่า เหตุที่เกาะสมุย เป็น ฝีมือของ แนวร่วม ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ ที่ก่อเหตุเพราะไม่ต้องการเห็นการ พูดคุยสันติสุข และต้องการดิสเครดิตของ แกนนำ บีอาร์เอ็น ในต่างประเทศ ที่มีการ พูดคุย กับ ตัวแทนของกองทัพ ให้เห็นว่า ไม่สามารถ สั่งการ แนวร่วม ในพื้นที่ให้หยุดก่อเหตุ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับ ที่เคยเกิดขึ้น ในปี 2556 ที่มีการ พูดคุยสันติภาพ ที่ รัฐบาลชุดเก่า เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งระหว่างการพูดคุย กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ก็ก่อเหตุมากมาย เพื่อทำลายการเจรจา สันติภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี