ปัจจุบันการเกษตรของไทยส่วนใหญ่ดำเนินการโดยเกษตรกรรายย่อย มีพื้นที่ถือครองทางการเกษตรขนาดเล็ก ประมาณ 25.7 ไร่/ครัวเรือน และเป็นการผลิตในลักษณะต่างคนต่างทำ ขณะเดียวกันการผลิตภาคเกษตรต้องเผชิญปัญหาหลายอย่างแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีจำกัด หรือการไม่สามารถเพิ่มปัจจัยการผลิตทั้งเรื่องที่ดินทำกิน และแรงงาน รวมถึงพิบัติภัยธรรมชาติ และสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ล้วนส่งผลต่อการเพิ่มศักยภาพการผลิตภาคเกษตรของประเทศ จากปัญหาดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดนโยบายปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตร ภายใต้การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ เป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรพร้อมรับการแข่งขันทางการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น
นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปี 2558 นี้ กระทรวงเกษตรฯได้มีแผนเร่งพัฒนาและขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรภายใต้การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการด้านอุปทานสินค้าเกษตรให้เกิดความสมดุลระหว่างปริมาณผลผลิตและความต้องการสินค้าเกษตร โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านกายภาพและปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ทั้งยังมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้เกิดการประหยัดจากการขยายขนาดการผลิต (Economy of Scale) ซึ่งจะส่งผลต่อการลดลงของต้นทุนการผลิต และเพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันการผลิตภาคเกษตรของประเทศจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากร และปัจจัยการผลิตที่มีมาตรฐานการผลิตในลักษณะเดียวกัน
เบื้องต้นมีเป้าหมายดำเนินการนำร่อง จำนวน 10 ชนิดสินค้า ในพื้นที่ 20 จังหวัด คือ 1.การปรับโครงสร้างการผลิตข้าวแบบบูรณาการ พื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี สุพรรณบุรี ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ขอนแก่น นครราชสีมา และฉะเชิงเทรา รวม 50,000 ไร่ 2.การปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าประมง ได้แก่ หอยแครง ดำเนินการในจังหวัดเพชรบุรี พื้นที่ 9,920 ไร่ กุ้งทะเล ดำเนินการใน 6 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และตราด และปลานิล ดำเนินการใน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย กาฬสินธุ์ ชลบุรี และนครศรีธรรมราช
3.การปรับโครงสร้างการผลิตมันสำปะหลัง ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และกำแพงเพชร รวมกว่า 5,000 ไร่ 4.การปรับโครงสร้างการผลิตอ้อยโรงงาน ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีและเพชรบุรี รวมกว่า 5,000 ไร่ 5.การพัฒนาพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและลพบุรี เนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ 6.การพัฒนาพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน พื้นที่จังหวัดกระบี่ รวมกว่า 5,000 ไร่ 7.การปรับโครงสร้างการผลิตลำไยแบบครบวงจร ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดลำพูนกว่า 5,000 ไร่ และ8.การบริหารจัดการเส้นไหม ไข่ไหม ดำเนินการในจังหวัดนครราชสีมา พื้นที่กว่า 200 ไร่
การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ เป็นการปรับโครงสร้างสินค้าเกษตรที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิต ทั้งยังมุ่งลดต้นทุนการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนปรับปรุงและเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ผลิตกับตลาดระดับต่างๆ และพัฒนาระบบธุรกิจของสหกรณ์โดยเฉพาะด้านการแปรรูปและการตลาด โดยการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีกรอบการดำเนินงาน แบ่งเป็น 3 ระยะ ซึ่งในระยะแรกจะเร่งคัดเลือกพื้นที่และสินค้า ระยะที่ 2 จัดทำแผนปฏิบัติการหรือแอคชั่นแพลน (Action Plan) และดำเนินการด้านงบประมาณ และระยะที่ 3 ดำเนินงานในพื้นที่โดยผู้จัดการแปลงจะควบคุมดูแลโครงการในภาพรวม ซึ่งหลังพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญคาดว่า จะเริ่มขับเคลื่อนโครงการฯได้ พร้อมกับการเปิดฤดูการผลิตปีนี้
อนาคตคาดว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯจะสามารถผลิตสินค้าเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และตรงตามความต้องการของตลาด ขณะเดียวกันยังเกิดการรวมกลุ่มเพื่อบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ช่วยสร้างความสมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทานของสินค้าเกษตร และส่งเสริมให้เกิดการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย
“การปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรจะประสบผลสำเร็จได้ จำเป็นต้องอาศัยหลักการสำคัญอย่างหนึ่ง คือ การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถดำเนินการได้ 3 แนวทาง ประกอบด้วย 1.การปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปผลิตพืชอื่นแทน เพื่อให้สอดคล้องกับเขตเศรษฐกิจการเกษตร และลดความเสี่ยงทางด้านราคา 2.การปรับโครงสร้างกระบวนการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ และเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม และ3.การปรับระบบการผลิตสู่เศรษฐกิจพอเพียงในลักษณะการทำฟาร์มแบบผสมผสานโดยใช้ศูนย์ศึกษาการพัฒนา และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นต้นแบบ คาดว่า จะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตภาคเกษตรของประเทศได้” รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี