ไรแมงมุมคันซาวา 8 ขา หรือที่เกษตรกรเรียกกันว่าไรแดง เป็นศัตรูพืชที่สำคัญของไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายชนิด โดยเฉพาะกุหลาบ เนื่องจากไรแดงจะดูดกินน้ำเลี้ยงใต้ใบแก่ทำให้กุหลาบเหี่ยวแห้ง ถ้าไม่มีการป้องกันกำจัดไรจะแพร่ระบาดไปดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบอ่อน กลีบดอก ทำให้ต้นกุหลาบหยุดชะงักการเจริญเติบโต ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตกุหลาบได้
นางสาวมานิตา คงชื่นสิน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านศัตรูพืช รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ไรแดงเป็นศัตรูพืชของกุหลาบ ที่สร้างความเสียหายต่อผลผลิตของเกษตรกรมายาวนาน โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง อากาศแห้งจะพบการแพร่ระบาดของไรแดงในปริมาณมาก ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรจะเลือกวิธีการป้องกันกำจัดไรแดงด้วยวิธีที่สะดวกและรวดเร็วคือการใช้สารเคมีฉีดพ่น แต่ด้วยวงจรชีวิตไรแดงสั้น ตั้งแต่ช่วงฟักไข่ถึงระยะตัวเต็มวัยเพียงแค่ 8 วัน ทำให้ไรแดงเกิดการพัฒนามีการปรับตัวสร้างภูมิต้านทานต่อสารเคมีได้อย่างรวดเร็วกว่าแมลงชนิดอื่น ส่งผลให้เมื่อเกษตรกรใช้สารเคมีไปนานๆ จึงไม่มีสารเคมีชนิดใดที่จะสามารถป้องกันหรือกำจัดไรแดงได้ เกษตรกรจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการใช้สารเคมีและมีการฉีดพ่นบ่อยครั้งขึ้น บางรายอาจต้องฉีดพ่นทุกๆ 3 วัน ซึ่งกระทบต่อต้นทุนการผลิต ที่สำคัญยังเป็นอันตรายอย่างมากต่อตัวเกษตรกร รวมถึงผู้บริโภคที่ซื้อผลผลิต
ไรแดงที่เป็นศัตรูพืชนั้นจะมีไรตัวห้ำซึ่งเป็นศัตรูธรรมชาติ ที่ไม่ดูดกินน้ำเลี้ยงของพืช แต่เป็นไรที่กินไรศัตรูพืชเป็นอาหาร เรียกว่าเป็นผู้กำจัดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแต่การทำเกษตรกรรมสมัยใหม่ที่ใช้สารเคมีมากเกินไป และมีสารเคมีบางชนิดไปทำลายศัตรูธรรมชาติด้วย ทำให้เสียสมดุล ไรศัตรูพืชจึงมีมากกว่าไรตัวห้ำศัตรูธรรมชาติ ดังนั้น การใช้ไรตัวห้ำควบคุมไรศัตรูพืชในกุหลาบ จึงเป็นการควบคุมไรศัตรูพืชโดยชีววิธี หรือ Biological Control ที่มีประสิทธิภาพและสร้างความยั่งยืนมากที่สุด
กรมวิชาการเกษตร โดยสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กลุ่มงานวิจัยไรและแมงมุม กลุ่มกีฏและสัตววิทยา ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องการใช้ไรตัวห้ำควบคุมไรศัตรูกุหลาบอย่างยั่งยืน เริ่มต้นจากการอนุรักษ์ไรตัวห้ำศัตรูธรรมชาติที่สำคัญให้มีจำนวนมากพอที่จะรักษาสมดุลธรรมชาติ ซึ่งวิธีเพาะและขยายพันธุ์ไรตัวห้ำจะใช้ไรแดงหม่อนเป็นเหยื่อ โดยปลูกต้นถั่ว เช่น ถั่วดำ ถั่วเขียว ในถุงเพาะชำจนมีอายุ 2 สัปดาห์ แล้วจึงนำไรแดงหม่อนพ่อแม่พันธุ์มาเลี้ยงขยายบนต้นถั่ว ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ ให้ไรแดงหม่อนเพิ่มปริมาณมากเต็มใบถั่ว จากนั้นจึงปล่อยพ่อแม่พันธุ์ไรตัวห้ำลงบนต้นถั่ว ในอัตรา 1 : 20-50 (ไรตัวห้ำ : ไรแดงหม่อน) ซึ่งไรตัวห้ำจะกินไรแดงหม่อนและขยายพันธุ์เพิ่มประชากรบนต้นถั่ว เมื่อพบว่าไรตัวห้ำกินเหยื่อใกล้หมดแล้วให้รีบตัดใบถั่วที่มีไรตัวห้ำบรรจุลงกระบอกกระดาษปิดฝาให้แน่น เมื่อจะนำไรตัวห้ำไปใช้ในแปลงกุหลาบ ก็เพียงแค่นำใบถั่วที่มีไรตัวห้ำไปวางลงบนใบหรือลำต้นกุหลาบที่มีไรแดง ไรตัวห้ำก็จะกำจัดไรศัตรูพืชโดยวิธีธรรมชาติ
ทั้งนี้ ผลการทดลองในแปลงกุหลาบของเกษตรกร อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ในช่วงเริ่มต้นที่ในแปลงยังไม่มีไรตัวห้ำเลย จะต้องปล่อยไรตัวห้ำในอัตรา 9-10 ตัวต่อต้น ทุก 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้ไรตัวห้ำเพิ่มประชากรสามารถตั้งรกรากอาศัยในพืชที่ปลูกได้อย่างถาวร หลังจากนั้นเมื่อเกิดความสมดุลก็ลดการปล่อยไรตัวห้ำลงเหลือ 3-4 ตัวต่อต้น ทุก 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่ไรตัวห้ำยังมีประชากรไม่มากพอ อาจพบไรศัตรูพืชระบาด ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในฤดูแล้งให้ใช้สารเคมีฆ่าไรที่ปลอดภัยต่อไรตัวห้ำฉีดพ่นเฉพาะบริเวณที่พบการระบาด เพื่อลดประชากรไรศัตรูพืชลงก่อน แล้วจึงปล่อยไรตัวห้ำไปควบคุมต่อเนื่อง ซึ่งผลการศึกษาการปล่อยไรตัวห้ำ 3-4 ตัวต่อต้น ทุกเดือนเป็นระยะเวลา 1 ปี พบว่าไรตัวห้ำสามารถควบคุมไรศัตรูกุหลาบ ทดแทนการใช้สารเคมีฆ่าไรได้อย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรรายนี้ได้พัฒนาการผลิตไรตัวห้ำไว้ใช้เองในแปลง และสามารถเป็นแปลงต้นแบบในการควบคุมไรศัตรูกุหลาบแบบชีววิธีอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่สำคัญ จากการเก็บสถิติต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าสารเคมีกำจัดไรในแปลงกุหลาบของเกษตรกรต้นแบบ พบว่าพื้นที่ประมาณ 40 ไร่ ตั้งแต่ปี 2548 มีค่าสารเคมีกำจัดไรประมาณ 28,070 บาทต่อเดือน และเพิ่มสูงขึ้นเป็น 37,850 บาท ในปี 2550 แต่เมื่อเริ่มใช้ไรตัวห้ำตั้งแต่ปลายปี 2550 เป็นต้นมา สามารถลดการใช้สารเคมีกำจัดไรลงเหลือเพียง 4,580 บาท ภายในปี 2553 และมีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลผลิตที่ได้มีปริมาณเพิ่มขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้นด้วย แต่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของการใช้ไรตัวห้ำควบคุมไรศัตรูพืชในกุหลาบ คือเมื่อลดการพึ่งพาสารเคมี เท่ากับสร้างความปลอดภัยต่อสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค ซึ่งประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้เลย
ฉะนั้นการป้องกันไรศัตรูกุหลาบด้วยชีววิธี จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรที่จะช่วยลดการสูญเสียผลผลิต สร้างความปลอดภัยและความมั่นคงในอาชีพ หากเกษตรกรผู้ปลูกกุหลาบท่านใดสนใจ สามารถเข้ามาศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม รวมถึงสามารถมาขอพ่อแม่พันธุ์ไรตัวห้ำ ไปเพาะขยายพันธุ์ไว้ใช้เองในแปลงได้ที่ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทร.0-2579-3053, 0-2579-4128
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี