กล้วยไม้เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญชนิดหนึ่งของโลก มีมูลค่าทางการค้าสูงกว่าปีละ 13,000 ล้านบาท โดยประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นผู้ส่งออกกล้วยไม้อันดับหนึ่ง มีมูลค่าส่งออกกว่า 7,000 ล้านบาท/ปี ส่วนไทยเป็นผู้ส่งออกกล้วยไม้อันดับ 2 มีพื้นที่ปลูก ประมาณ 22,000 ไร่ เกษตรกร 3,000 ราย มีผลผลิตดอกกล้วยไม้ ประมาณ 48,000 ตัน/ปี ซึ่งผลผลิต 45% ส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ ที่เหลือ 55% ใช้ภายในประเทศ นอกจากนั้น ไทยยังมีการส่งออกต้นกล้วยไม้ด้วย โดยมีมูลค่าส่งออกรวมปีละกว่า 3,000 ล้านบาท มีตลาดส่งออกหลัก คือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และบราซิล เป็นต้น
ปัจจุบันการผลิตกล้วยไม้ของไทยประสบปัญหาหลายเรื่อง โดยเฉพาะคุณภาพสินค้าไม่สม่ำเสมอ มีการปนเปื้อนศัตรูพืช เช่น เพลี้ยไฟ ทั้งยังมีปัญหาการขนส่งสินค้าไม่ตรงเวลาและต้นทุนค่าขนส่งสูง ขณะเดียวกันปัจจัยการผลิตกล้วยไม้ยังขยับตัวเพิ่มขึ้น ที่สำคัญยังมีปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน จนรัฐบาลต้องระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้อย่างยั่งยืน
นายสัตวแพทย์ศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวว่า ปัญหาหลักของการส่งออกสินค้ากล้วยไม้ไทย คือ คุณภาพไม่สม่ำเสมอ มีจำนวนดอกบานต่อช่อน้อยกว่า 4 ดอก/ช่อ ทั้งยังมีปัญหาเพลี้ยไฟปนเปื้อนติดไปกับสินค้า ส่งผลให้การส่งออกกล้วยไม้มีแนวโน้มลดลง ขณะเดียวกันราคากล้วยไม้ภายในประเทศก็ลดลงด้วย ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 104.28 บาท/กิโลกรัม เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ส่งผลให้เกษตรกรขายได้ราคาต่ำ ที่ประชุมคณะกรรมการโครงการส่งเสริมตลาดกล้วยไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ มกอช.ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดมาตรฐานกล้วยไม้ให้เป็นมาตรฐานบังคับ เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ ครม.มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการภายใต้ “โครงการพัฒนาตลาดกล้วยไม้”
ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯได้จัดทำและประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับกล้วยไม้ จำนวน 3 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมการผลิตกล้วยไม้ทั้งระบบ ได้แก่ มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับกล้วยไม้ตัดดอก หรือ GAP กล้วยไม้ตัดดอก มาตรฐานการปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงคัดบรรจุดอกกล้วยไม้ หรือ GMP โรงคัดบรรจุดอกกล้วยไม้ และมาตรฐานช่อดอกกล้วยไม้ ซึ่งทั้งหมดเป็นมาตรฐานสมัครใจ
จากการประชุมหารือกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งเกษตรกรผู้ผลิต ผู้ส่งออก กรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร กรณีที่จะผลักดันมาตรฐานกล้วยไม้เป็นมาตรฐานบังคับในเบื้องต้นได้ข้อสรุปว่า มาตรฐานช่อดอกกล้วยไม้ และมาตรฐาน GAP กล้วยไม้ตัดดอก ควรเป็น “มาตรฐานทั่วไป” ไปก่อน เพื่อให้ผู้ผลิตเห็นประโยชน์ของการส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้ตัดดอกอย่างมีระบบ ส่วนมาตรฐาน GMP โรงคัดบรรจุดอกกล้วยไม้ ทุกฝ่ายเห็นว่า ควรจัดทำเป็นมาตรฐานบังคับ แต่ในช่วงแรกควรบังคับเฉพาะผู้ที่ส่งออก ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องหารือรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้แนวปฏิบัติที่เหมาะสม
เลขาธิการ มกอช.กล่าวอีกว่า ผู้ผลิตและผู้ส่งออกส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ควรมีมาตรฐานบังคับสำหรับช่อดอกกล้วยไม้ที่ส่งออก ซึ่งการควบคุมให้เน้นที่จุดส่งออก โดยมาตรฐานบังคับที่ประสงค์ให้ดำเนินการ คือ “ช่อดอกกล้วยไม้เพื่อการค้าระหว่างประเทศ” เน้นจำนวนดอกบานในช่อดอกกล้วยไม้และศัตรูพืช ซึ่งผู้ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานบังคับ ได้แก่ ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้ผลิตที่ผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น กรณีเกษตรกรตัดดอกขายเพียงอย่างเดียวไม่เข้าข่ายมาตรฐานนี้
นอกจากนั้น การตรวจรับรองระบบ GMP โรงคัดบรรจุดอกกล้วยไม้ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกเห็นควรให้เพิ่มข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนดอกบานต่อช่อ และการตรวจสอบสินค้ากล้วยไม้ ณ ด่านส่งออกทั้งท่าอากาศยานและตามแนวชายแดน ต้องสุ่มตรวจทั้งศัตรูพืชและจำนวนดอกบาน สำหรับการตรวจสอบสินค้าที่ด่านตรวจพืช ให้ตรวจใบอนุญาตการเป็นผู้ผลิต/ผู้นำเข้า/ผู้ส่งออก ตามมาตรฐานบังคับที่มีอายุ 3 ปี ทั้งยังให้ตรวจใบรับรอง GAP ว่ามาจากสวนที่ได้รับการรับรอง GAP หรือไม่ และการสุ่มตรวจสินค้า ให้ตรวจจำนวนดอกบานในช่อ ศัตรูพืช และตรวจสอบฉลากบนภาชนะบรรจุด้วย
อย่างไรก็ตาม มกอช.ได้เตรียมแผนเร่งหารือกับกรมวิชาการเกษตรเรื่องความพร้อมในการตรวจรับรองสินค้ากล้วยไม้ส่งออก พร้อมนำเสนอผลการหารือต่อคณะกรรมการโครงการส่งเสริมการตลาดกล้วยไม้เพื่อให้ความเห็นชอบ อีกทั้งยังจะเปิดรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ประมาณ 100-120 คน ก่อนที่จะนำเสนอคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อขอความเห็นชอบในหลักการให้จัดทำมาตรฐานบังคับเรื่อง “ช่อดอกกล้วยไม้เพื่อการค้าระหว่างประเทศ” เป็นมาตรฐานบังคับต่อไป
“เพื่อให้ได้กล้วยไม้ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และตรงตามความต้องการของตลาด เบื้องต้นเกษตรกรควรปรับตัวเข้าสู่ระบบมาตรฐาน GAP เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP เพียง 176 ราย พื้นที่ 2,074.25 ไร่ การยกระดับแปลงปลูกกล้วยไม้เข้าสู่มาตรฐาน GAP เป็นช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตกล้วยไม้คุณภาพปริมาณมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ผลิต/ผู้ประกอบการต้องใส่ใจในคุณภาพสินค้าให้มาก ควรศึกษาและวางแผนการผลิตให้สอดรับกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค และมีการจัดทำระบบตามสอบในรูปแบบคิวอาร์โค้ด (QR Code) ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับกล้วยไม้ไทยในเวทีการค้าโลกได้”นายสัตวแพทย์ศักดิ์ชัยกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี