เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนหลายพื้นที่ของประเทศไทยก็เริ่มมีปัญหาในเรื่องของการจัดการน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำไม่คงที่ในแต่ละปี แหล่งน้ำธรรมชาติ หรือแม้แต่แม่น้ำสายต่างๆ ที่แห้งขอด ส่งผลกระทบกับเกษตรกรที่ทำการเพาะปลูก โดยเฉพาะในเขตนอกพื้นที่ชลประทานที่ไม่สามารถปลูกพืชได้ จึงทำให้เกษตรกรขาดรายได้ที่เข้ามาเลี้ยงดูครอบครัว กรมพัฒนาที่ดินนอกจากจะดูแลในเรื่องของทรัพยากรดินแล้ว อีกด้านหนึ่งก็คือการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า กรมพัฒนาที่ดินได้มีการบริหารจัดการน้ำ 3 โครงการ คือ 1.โครงการแหล่งน้ำเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ เป็นโครงการแหล่งน้ำขนาดเล็กของกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งถ้าหากชุมชนใดต้องการแหล่งน้ำจะต้องให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทำเรื่องเข้ามาที่กรม โดยระบุว่า แหล่งน้ำในพื้นที่ของตนเองมีความตื้นเขินหรือไม่ มีวัชพืชขึ้นปกคลุม หรือ ต้องการให้ขุดขึ้นมาใหม่ ซึ่งกรม จะดำเนินการส่งช่างออกไปสำรวจ ออกแบบ เพื่อที่จะบรรจุเข้าแผนในการก่อสร้างต่อไป
ส่วนของโครงการที่ 2 โครงการแหล่งน้ำชุมชน จะเป็นโครงการขนาดใหญ่กว่าโครงการแรก เนื่องจากจะมีการบริหารจัดการน้ำ ในเบื้องต้นของการทำงานจะต้องมีการเข้าไปพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ก่อน และจากนั้นก็จะมีการส่งน้ำด้วยระบบท่อ เข้าไปในพื้นที่ของเกษตรกรที่อยู่ในโครงการ และในส่วนนี้กลุ่มของผู้ใช้น้ำหรือกลุ่มเกษตรกรต้องมีการตกลงกันเองว่า จะมีการเก็บค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการน้ำอย่างไร เนื่องจากโครงการนี้จะต้องมีการสูบน้ำ ซึ่งอาจจะใช้พลังงานจากไฟฟ้า หรือ น้ำมัน กลุ่มของผู้ใช้น้ำจะต้องมีการจัดการกันเอง โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดินคอยเป็นพี่เลี้ยงให้
สำหรับโครงการที่ 3 โครงการแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน ซึ่งเป็นโครงการที่เกษตรกรให้ความสนใจมาก โดยมีการริเริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแนวคิดที่จะให้กรมพัฒนาที่ดิน สร้างแหล่งน้ำขนาดเล็กให้กับเกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทาน หรือ มีชื่อเรียกว่า “โครงการบ่อจิ๋ว”มีขนาด 1,260 ลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้เกษตรกรที่สนใจจะขอรับบริการ จะต้องจ่ายเงินสมทบ ให้กับทางราชการ บ่อละ 2,500 บาท และส่วนต่างของค่าใช้จ่ายทางราชการจะเป็นผู้ออกให้ทั้งหมด สำหรับโครงการบ่อจิ๋ว ในปี 2558 เรามีโครงการขุดบ่อจำนวน 50,000 บ่อ ทั้งนี้เกษตรกรที่สนใจโครงการบ่อจิ๋ว สามารถเขียนคำร้องโดยผ่านหน่วยงานของกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งจะนำมารวบรวมคำร้องทั้งหมด เพื่อวางแผนการจัดการและจัดสรรงบประมาณ ในการก่อสร้างต่อไป
ในครั้งที่เริ่มต้นโครงการบริหารจัดหารน้ำทั้ง 3 โครงการนี้อาจจะมีปัญหาการทำงานซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันได้ออกมาตรการให้เจ้าของพื้นที่ ซึ่งก็คือสถานีพัฒนาที่ดินในจังหวัดต่างๆ เข้าไปตรวจสอบก่อนว่า แหล่งน้ำที่ขอรับการสนับสนุนมานั้น มีการทับซ้อนกับหน่วยงานอื่นหรือไม่ จึงจำเป็นที่จะต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งถ้ามีการทับซ้อนก็จะขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดำเนินการ ส่วนกรมพัฒนาที่ดินก็จะทำในส่วนอื่นแทน
นายเข้มแข็ง กล่าวเสริมถึงโครงการบ่อจิ๋วว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาภัยแล้งที่กรมพัฒนาที่ดินได้บรรจุเข้าไปในแผนการทำงาน แต่ด้วยโครงการบ่อจิ๋ว มีความจุเพียงแค่ 1,260 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งอาจจะเก็บน้ำได้ไม่ครอบคลุมทั้งปี เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของโครงการคือ บรรเทาความเดือดร้อน ในช่วงสั้นๆ เช่น แก้ปัญหาการขาดน้ำในช่วงตกกล้า เป็นต้น โดยในปัจจุบัน โครงการบ่อจิ๋วนี้ ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นจำนวนมาก ทำให้การดำเนินการอาจจะมีข้อติดขัดอยู่บ้าง โดยเฉพาะด้านการบริการ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดินที่ไม่เพียงพอ ซึ่งเมื่อขุดบ่อเสร็จเรียบร้อย จะต้องมีการตรวจรับงานให้เป็นไปตามแบบที่กำหนด อีกทั้งถ้าพื้นที่ใดมีจำนวนบ่อที่ขุดมาก ก็อาจจะมีจำนวนเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตรวจงานไม่เพียงพอ
สำหรับ 3 โครงการดังกล่าว คาดว่าจะใช้งบประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งโครงการเหล่านี้เกษตรกรไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
ยกเว้นโครงการบ่อจิ๋ว ที่จะต้องมีการจ่ายเงินสมทบในการขุดบ่อละ 2,500 บาท อย่างไรก็ตาม ทุกโครงการที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้กับเกษตรกรอย่างแท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี