9 พ.ค.58 นายไพศาล เครือวงศ์วานิช รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัทกรุงเทพโปรดิ๊วส เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ร่วมมือกับ สปก. จัดทำโครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพระบบการผลิตเกษตรกร โดยเกษตรกรในโครงการจะได้รับการอบรมความรู้การเพาะปลูกอย่างถูกต้อง ตั้งแต่การวิเคราะห์ธาตุอาหารในดินจนถึงการจัดการหลังเก็บเกี่ยว การเพิ่มผลผลิตในการเพาะปลูก ที่สำคัญลดปัญหาสุขภาพของเกษตรกรที่เกิดจากการใช้สารเคมีเพื่อการเกษตร รวมถึงการผลักดันให้เกิดศูนย์การเรียนรู้ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลในการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไทยสู่ความยั่งยืน
“เกษตรกรต้องรู้จักดินในพื้นที่ตนเองเสียก่อนว่า ดินในแปลงเพาะปลูกของตนเองเป็นอย่างไร จากองค์ประกอบของดินทั้ง 4 ส่วน คือ ธาตุอาหารในดิน น้ำ อากาศ และอินทรียวัตถุ เกษตรกรส่วนใหญ่รู้จักและให้ความสำคัญเพียงส่วนเดียวเท่านั้น คือ ธาตุอาหารในดินหรือปุ๋ยเท่านั้น โครงการนี้จึงมุ่งเน้นให้เกษตรกรเข้าใจและเห็นความสำคัญขององค์ประกอบส่วนอื่นๆ ของดินว่ามีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างไร และวิธีการที่เหมาะสมในการปรับสมดุลขององค์ประกอบต่างๆ ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช”
นอกจากนี้ ยังแนะนำการเลือกใช้พันธุ์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ และการใช้เมล็ดพันธุ์ในอัตราที่เหมาะสม 3.0-3.5 กิโลกรัมต่อไร่ขึ้นอยู่กับขนาดเมล็ดพันธุ์ทั้งนี้เพื่อให้ข้าวโพดแต่ละต้นเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการไถเตรียมดินให้ลึกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร เพื่อให้ดินเก็บน้ำได้มากขึ้น และรากสามารถหาน้ำและอาหารได้ไกลขึ้น การใส่ปุ๋ยถูกชนิด (จากการวิเคราะห์ธาตุอาหารในดิน) ถูกวิธี (กลบปุ๋ย) และถูกเวลา เพื่อลดการสูญเสียปุ๋ยให้น้อยที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญคือการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยพืชสดเพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน ทำให้ดินร่วนซุยเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช
นายไพศาล กล่าวว่า เกษตรกรในโครงการจะได้รับความรู้เรื่องผลเสียจากการเผาตอซัง และการจัดการตอซังอย่างถูกต้อง เพราะการเผาตอซังจะทำให้โครงสร้างของดินเปลี่ยนแปลงไป ดินจับตัวกันแน่นและแข็ง ทำให้รากแคระแกรน ไม่สมบูรณ์ การหาน้ำและอาหารลดลงรวมทั้งเชื้อโรคพืชสามารถเข้าทำลายได้ง่าย สูญเสียอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน ทำลายจุลินทรีย์และแมลงที่เป็นประโยชน์ในดิน รวมทั้งจุลินทรีย์ที่สามารถควบคุมโรคพืชถูกเผาทำลายไป ซึ่งหากระบบนิเวศน์ของดินไม่สมดุลจะทำให้การแพร่ระบาดของโรคเกิดได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญการเผาตอซังยังทำให้สูญเสียน้ำในดินไปอีกด้วย
ในการบำรุงดินนั้น บริษัทฯแนะนำให้เกษตรกรปลูกพืชตระกูลถั่ว เช่น ปอเทืองหลังการเก็บเกี่ยว หรือพื้นที่ใดที่มีการปลูกถั่วช่วงปลายฤดูฝน แนะนำให้ปลูกข้าวโพดเหลื่อมพืชตระกูลถั่ว โดยปลูกพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียวหรือถั่วเหลืองในร่องข้าวโพดช่วงเดือนสิงหาคม หรือก่อนเก็บเกี่ยวข้าวโพด 30 วัน ในเดือนตุลาคมเมื่อข้าวโพดแก่จัด เก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้วล้มต้นข้าวโพดลงให้เป็นวัสดุคลุมดินระหว่างแถวของถั่ว เก็บเกี่ยวถั่วในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ และไถกลบเศษซากไว้ในพื้นที่
ประโยชน์ของการปลูกข้าวโพดโดยไม่เผาเศษซากและเหลื่อมด้วยพืชตระกูลถั่วนี้นอกจากจะช่วยลดปัญหาหมอกควันจากการเผาตอซัง และลดการซะล้างพังทลายของหน้าดินแล้ว ยังช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้กับเกษตรกรในระยะยาว เพราะเศษซากพืชที่ไถกลบลงไปยังช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดิน โดยเฉพาะไนโตรเจน และปรับปรุงโครงสร้างดินให้มีความร่วนซุย เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตของพืชในฤดูกาลต่อๆ ไป
บริษัทฯ กำหนดพื้นที่นำร่องไว้ 8 จังหวัด ได้แก่ แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ เลย พิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ และนครราชสีมา ซึ่งวางแผนพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในพื้นที่ สปก. ให้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 45,000 ไร่ และตั้งเป้า 5 ปี (2558-2562) จะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 15,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 225,000 ไร่ และยังมีแนวทางการขยายผลโครงการ โดยอาศัยความร่วมมือกับทั้งคู่ค้าธุรกิจและเกษตรกรเครือข่าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี