ปัจจุบันพื้นที่การเกษตรของประเทศไทยมีทั้งหมดประมาณ 149 ล้านไร่ ในจำนวนนี้เป็นพื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานเพียงประมาณ 30 ล้านไร่ หรือร้อยละ 20 เท่านัั้น ที่เหลืออีก 119 ล้านไร่ เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทานที่ต้องใช้น้ำฝนเป็นหลัก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงกับภาวะภัยแล้ง รวมทั้งในบางปียังเสี่ยงต่อภาวน้ำท่วมอีกด้วย
คณะกรรมการกำหนดนโยบายบริหารจัดการน้ำ ที่มีพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ต้องการที่่จะเพิ่มความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับเกษตรกรซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ ดังนั้นในแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ด้านการสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำภาคการผลิต (การเกษตรและอุตสาหกรรม) จึงได้กำหนดที่จะขยายพื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานให้ได้อีก 18.8 ล้านไร่ ภายในปี 2569
อีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยก็จะมีพื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานรวมทั้งหมดไม่น้อยกว่า 48.8 ล้านไร่ หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 33 ของพื้นที่การเกษตรทั้งประเทศเท่านั้นที่จะมีความมั่นคงในเรื่องน้ำ ซึ่งถือว่าน้อยมากยังไม่ถึงครึ่ง
ว่าที่ ร.ต. ไพเจน มากสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า พื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานที่เพิ่มขึ้นอีก 18.8 ล้านไร่ดังกล่าวนั้นเป็นการสำรวจเบื้องต้นเกี่ยวกับพื้นที่การเกษตรกรน้ำฝนที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานได้ในทางเทคนิค
"หากจะพัฒนาพื้นที่ชลประทานให้ได้มากกว่า 18.8 ล้านไร่ จำเป็นจะต้องใช้เทคนิคอื่นๆ ในการจัดหาน้ำ เช่น น้ำบาดาล การผันน้ำ เป็นต้น ซึ่งตามยุทธศาสตร์สร้างความมั่นคงเรื่องน้ำภาคการผลิตกำหนดที่จะนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ประมาณ 1 ล้านไร่เท่านั้น เพราะต้นทุนค่อนข้างสูง แม้จากการสำรวจปริมาณน้ำบาดาลจะมีมากถึง 70,000-80,000 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ก็ตามแต่ก็อยู่ลึกมาก ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการสูบขึ้นมา ถ้าภาครัฐไม่ช่วยเหลือ เป็นเรื่องยากที่เกษตรกรจะทำเองได้ และถ้าหากนำน้ำมาใช้เพื่อการปลูกข้าวเพียงอย่างเดียวไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน" รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว
การสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำ เป็นเรื่่่องทีมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเทศเกษตรกรรมอย่างประเทศไทย อย่างน้อยจะให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ปีละ 1 ครั้ง โดยที่ไม่ได้รับความเสียหายจากภัยแล้งหรือน้ำท่วม ซึ่งการพัฒนาพื้นที่ชลประทานให้ได้เพิ่มขึ้นอีก 18.8 ล้านไร่นั้น จะมีการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ตลอดจนฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ และปรับปรุงแหล่งน้ำเดิมที่มีอยู่ให้เต็มศักภาพ ซึ่งตั้งเป้าในระยะแรกที่จะดำเนินการจำนวน 15,000 แห่ง เพิ่มปริมาณการกักเก็บให้ได้อีก 2,700 ล้าน ลบ.ม. ภายในปี 2569
อย่างไรก็ตามพื้นที่ชลประทานที่จะพัฒนาเพิ่มขึ้นใหม่ 18.8 ล้านไร่ดังกล่าว ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือถึงร้อยละ 40 และภาคใต้ร้อยละ 30 ที่เหลือเป็นภาคอื่นๆ ส่วนพื้นที่ชลประทานเดิม 30 ล้านไร่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคกลาง ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ที่จะศักยภาพในทางเทคนิคที่จะพัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทานน้อยมาก
จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า หากสามารถพัฒนาพื้นที่ชลประทานได้ตามยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในปี 2569จะเหลือพื้นที่นอกเขตชลประทาน หรือ พื้นที่การเกษตรน้ำฝนประมาณกว่า 100 ล้านไร่ มากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน และในจำนวนนี้ พบว่ามีพื้นที่ที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางถึงรุนแรงประมาณ 26.8 ล้านไร่ หรือ ร้อยละ 22 ของพื้นที่พื้นที่การเกษตรนอกเขตชลประทาน
ดังนั้นหากให้กระจายความมั่นคงในเรื่องน้ำให้มีความสมดุลในทุกภูมิภาคของประเทศ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องใช้เทคนิคอื่นๆ ในการจัดหาน้ำ และเทคนิคที่จะสามารถจัดหาน้ำได้ในปริมาณที่มากก็คือ "การผันน้ำ"
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน กล่าวว่า การใช้แนวทางการผันน้ำเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความเป็นไปได้สูง ซึ่งขณะนี้กรมชลประทานได้เสนอให้มีการศึกษาความเหมาะสมรูปแบบการพัฒนาโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วง หากสามารถทำได้จะเพิ่มพื้นที่ชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อีกมากกว่า 20 ล้านไร่ และยังเป็นสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้มีความสมดุลในทุกภูมิภาคของประเทศอีกด้วย
โครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูลโดยแรงโน้มถ่วง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ก็การกล่าวถึงในรัฐบาลหลายยุคหลายสมัย ในช่วงที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีเคยมีการผลักดันโครงการนี้ แต่ก็เงียบเมื่อรัฐบาลใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
จากผลสรุปวิกฤติทรัพยากรน้ำของประเทศไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า หากไม่มีการลงทุนพัฒนาแหล่งน้ำในอีก 20 ปีข้างหน้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะขาดแคลนน้ำถึง 15,833 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี แต่ถ้าหากสามารถผลักดันโครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูลให้เป็นจริงได้ปัญหานี้ก็จะหมดไป
สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูลดังกล่าวนั้น เป็นการใช้หลักทางวิศวกรรมที่จะนำน้ำที่มากมายมหาศาลจากแม่น้ำโขงเฉลี่ยปีละ 40,000 ล้านลบ.ม. บริเวณปากแม่น้ำเลย อ.เชียงคาน จ.เลย เข้าสู่แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล ไหลจากที่สูงลงสู่พื้นที่ตอนล่างตามแรงโน้มถ่วง และกระจายน้ำเข้าสู่พื้นที่ชลประทานมากว่า 20 ล้านไร่ดังกล่าว
ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากรมชลประทานได้มีการศึกษาความเหมาะสมลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ของโครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูลโดยแรงโน้มถ่วงแล้ว พบว่าโครงการมีความเป็นไปได้ทางวิศวกรรม มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมน้อย มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐกิจ ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในภาคอีสานได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
"การที่จะสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำได้นั้น จะต้องมีแหล่งน้ำที่ใหญ่เพียงพอที่จะทำการเกษตรได้ตลอดทั้งฤดูกาลผลิต รัฐบาลจำเป็นจะต้องสร้างความสมดุลในเชิงนโยบาย ระหว่างการพัฒนากับการอนุรักษ์ว่าจะไปในทิศทางไหน พื้นที่ไหนบ้างควรอนุรักษ์ พื้นที่ไหนบ้างควรจะพัฒนาต้องกำหนดให้ชัดเจน” ดร.สมเกียรติ กล่าว
ถ้าไม่เริ่มต้นวันนี้ แล้วเมื่อไหร่โครงการฯ โขง เลย ชี มูล จะเป็นจริง!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี