สัปดาห์ที่แล้ว วงการที่ทำงานด้านต่อต้านคอร์รัปชั่น ออกอาการคึกคักและพอใจยิ่ง ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.แสดงการเอาจริงจัดการผู้ที่พัวพันการทุจริต โดยใช้“ดาบ”อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 “ฟัน”ข้าราชการระดับสูง จนถึงเจ้าหน้าที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น กระเด็นกระดอน ทั้งโยกย้ายและพักงานรวมจำนวนทั้งสิ้น 45 คน
ใน 45 คนนี้ เป็นข้าราชการ 24 คน ตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวง,รองปลัดกระทรวง,อธิบดี,รองอธิบดี,ผู้ตรวจราชการกระทรวง,จเรตำรวจ,ผู้ว่าราชการจังหวัด,นายอำเภอ จนถึงระดับซี 7 ซี 8 โดยถูกคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 16/2558 ย้ายออกจากตำแหน่งเดิม ให้ไปอยู่ใน “กรุ” ระหว่างรอการตรวจสอบคดีทุจริตต่างๆ ที่พัวพันเกี่ยวข้องอยู่
หลายคนที่ติดตามข่าวสารอยู่คงพอรู้ที่มาอยู่ ก็ขอสรุปสั้นๆ ไว้ตรงนี้ว่า คำสั่งที่ออกมา เป็นผลสืบเนื่องจากที่ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอตช.ที่พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน ได้ให้หน่วยงานปราบปรามคอร์รัปชั่น ทั้ง ป.ป.ช.–คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ,ป.ป.ท.-คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสตง.-สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รวบรวมรายชื่อข้าราชการระดับสูงที่ถูกสอบพัวพันทุจริต จัดทำเป็นบัญชีลอตแรกราว 100 รายชื่อ เสนอต่อนายกรัฐมนตรีให้ใช้ “อำนาจพิเศษ” จัดการโยกย้ายพ้นตำแหน่งไปก่อน เพราะแม้จะมีหลักฐานจากการสอบสวนในระดับที่เชื่อได้ว่า เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดแน่ๆ แต่การจะเอาผิดให้ได้จริงๆ ยังต้องมีกระบวนการตรวจสอบไต่สวนไปถึงขั้นดำเนินคดีอีกยาวนาน ถ้ารอขั้นตอนปกติของระบบราชการ บุคคลเหล่านี้ก็ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งเดิมต่อไปก่อน จนอาจเป็นอุปสรรคต่อการติดตามหาหลักฐานต่างๆ หรือทำให้พยานเกรงกลัว ไม่กล้าให้ข้อมูลใดๆ ได้
อันเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้การเอาผิดคดีทุจริตคอรัปชั่นต่างๆ ที่ผ่านมา ขาดประสิทธิภาพ เอาผิดไม่ค่อยได้ หรือถูกถ่วงคดีให้ล่าช้าเป็นอย่างยิ่ง
ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2558 นี้ ยังกำหนดให้เปิดกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสํานักนายกรัฐมนตรีจํานวน 100 อัตราเพื่อรองรับด้วย พูดง่ายๆ คือ เปิด 100 เก้าอี้ที่จะนำข้าราชการที่พัวพันทุจริต มาเก็บไว้ใน “กรุ” สำหรับลอตต่อๆไปที่จะตามมาอีก เพราะ ศอตช.ของพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา มีการเตรียมเสนอ “บัญชีดำ”ลอตที่ 2 ที่ 3 ต่อไปแล้ว
ย้อนกลับมาที่ 24 ข้าราชการจาก 45 รายชื่อที่ถูก“เชือด”ลอตแรกนี้ ปรากฏว่า มีข้าราชการระดับไม่เล็กไม่ใหญ่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดนไปด้วย 2 ราย คือ นายปัญญา ศิลปะ เกษตรจังหวัดนครราชสีมา และนายอุดร ชมาฤกษ์ เกษตรจังหวัดอุบลราชธานี
จากการตรวจสอบพบว่า เรื่องทุจริตที่ลากทั้ง 2 คนนี้เข้าไปติดร่างแหด้วยนั้น เกี่ยวข้องกับการอนุมัติใช้จ่ายงบช่วยเหลือภัยพิบัติ ซึ่งความผิดเรื่องนี้มีข้าราชการกระทรวงมหาดไทยอีก 10 คนโดนคำสั่ง“เชือด” พร้อมกันด้วย คือ นายแก่นเพชร ช่วงรังษี รองปลัดกระทรวงมหาดไทย,นายกิตติภพ ตราชูวณิช ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง,นายนพวัชร สิงห์ศักดา ผวจ.อุดรธานี,นายเวชสุวรรณ อาจวิชัย หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.มุกดาหาร,นายนิรันดร์ บุญสิงห์
หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.สุรินทร์, นายพรต ภูภักดิ์ นายอําเภอเชียงยืน จ.มหาสารคาม,นายภัลลพ
พิลา นายอําเภอเมืองสระบุรี,นายสมภพ ร่วมญาติ นายอําเภอโนนสะอาด จ.อุดรธานี,นายอรรณพ อกอุ่น นายอําเภอเมืองอุบลราชธานี และนายวีรชาติ ผ่องโชติ นายอําเภอตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี
คดีนี้ เป็นเรื่องที่สตง.และป.ป.ช.ตรวจสอบพบความผิดปกติ โครงการช่วยเหลือชาวสวนยางและชาวนาผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินช่วงปีงบประมาณ 2554 และ 2555 ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมแล้ว 22 จังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคอีสานและภาคเหนือ
โดยจัดซื้อสารเคมียาปราบศัตรูพืชและโรคระบาดในยางพารา ราคาแพงเกินจริง ร่วมทั้งจัดซื้อในพื้นที่ซึ่งไม่ได้เกิดภัยพิบัติจริง บางจังหวัดใช้เงินสูงกว่าปกตินับพันล้าน สตง.ได้ชี้มูลความผิดทางแพ่งกับข้าราชการมหาดไทยหลายจังหวัด และส่งเรื่องให้ป.ป.ช.เอาผิดตามกฎหมายทุจริต
นับเป็นคดีทุจริตเลวร้าย โกงกินงบฯช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีข้าราชการกระทรวงเกษตรฯร่วมมือกับฝ่ายมหาดไทยด้วย และคดีโกงกินแบบนี้ มีมาอย่างยาวนาน
ก็หวังว่าในยุค คสช.นี้ จะได้ช่วยกวาดล้างการโกงกินเหล่านี้ ไม่ได้หวังว่า
จะสิ้นซากได้ แต่อย่างน้อยเลือดเนื้อเกษตรกรที่ถูก “สูบ” ไป คงลดน้อยลงบ้าง
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี