การเกษตรของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามุ่งเน้นไปเชิงพาณิชย์เป็นหลัก ทำให้เกษตรกรต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมีมากขึ้นทุกปี
เพื่อรักษาปริมาณผลผลิตให้ได้มากขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรดิน ระบบนิเวศการเกษตรเสื่อมโทรมลง รวมทั้ง
เกิดความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตของเกษตรกรที่เป็นผู้ผลิต ตลอดจนผู้บริโภค ดังนั้น ในเมื่อสถานการณ์ปัจจุบันที่ปุ๋ยเคมีปรับราคาสูงขึ้นมากจนกระทบต้นทุนการผลิตของเกษตรกร กรมพัฒนาที่ดิน จึงเล็งเห็นว่าการพลิกฟื้นเกษตรอินทรีย์ โดยการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง ที่เกษตรกรสามารถผลิตได้เองจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้
นางอุษา ศรีใส ผู้เชี่ยวชาญด้านวางระบบการพัฒนาที่ดิน สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 12 กรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า
ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย ซึ่งการผลิตข้าวในรูปของข้าวอินทรีย์ เริ่มได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จากกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความรู้สึกห่วงใยสุขภาพของผู้บริโภคที่มากขึ้น ประกอบกับสินค้าเกษตรอินทรีย์มักมีราคาสูง
และคุ้มค่ากับการลงทุนของเกษตรกร ซึ่งการปรับเปลี่ยนการผลิตข้าวโดยทั่วไปให้เป็นการผลิตข้าวอินทรีย์ แนวทางหนึ่งคือการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งสามารถผลิตได้ในท้องถิ่น โดยการนำวัสดุที่สามารถให้ธาตุอาหารสูงมาใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ได้แก่ ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง มาปรับปรุงสมบัติของดิน ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ปุ๋ยเคมีราคาแพง
ดังนั้น กรมพัฒนาที่ดินได้จัดทำโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง ในพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ของกลุ่มเกษตรกรที่มีความพร้อมพัฒนาเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างเครือข่ายการผลิตและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการพัฒนาการผลิตสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ สำหรับการปลูกข้าวอย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งการผลิตข้าวอินทรีย์นั้นต้องหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมี โดยมีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงทดแทนในนาข้าวเพื่อเพิ่มธาตุอาหารพืชในดิน
ทั้งนี้ ได้มีการทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “การผลิตข้าวอินทรีย์โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง” เพื่อศึกษาการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงในการปลูกข้าวอินทรีย์ต่อการเจริญเติบโต ผลผลิตข้าว และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ โดยดำเนินการ ณ บ้านควนกุฎ
ตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง จำนวน 115 ไร่ 2 งาน ซึ่งเป็นพื้นที่ราบ ดินเป็นดินร่วนปนดินเหนียว
สีน้ำตาล เป็นกรดแก่ ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมต่ำ ตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2552 ถึงพฤษภาคม 2554 ซึ่งประกอบด้วยการทดลอง 3 แบบ ได้แก่ 1.ใส่ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง อัตรา 200 กก./ไร่ ในนาหว่าน 2.ใส่ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง อัตรา 300 กก./ไร่ ในนาหว่าน 3.ใส่ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง อัตรา 200 กก./ไร่ ในนาดำ
จากผลการทดลองพบว่า ข้าวนาหว่านใส่ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงในอัตรา 300 กก./ไร่ มีแนวโน้มให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด 775 กก./ไร่ ส่วนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 200 กก.ต่อไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุด 670 กก./ไร่ ที่สำคัญพบว่าการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 200 กก./ไร่ ปลูกแบบนาดำสามารถให้ผลผลิตสูงกว่านาหว่าน เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5.22% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการทำนาแบบนาดำจะให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าการทำนาหว่าน แต่มีต้นทุนค่าแรงงานในการปักดำ ทำให้การทำนาดำให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำกว่านาหว่าน เมื่อใช้อัตราปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง 200 กก./ไร่ เท่ากัน และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงในนาข้าวควรกระทำเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปี เนื่องจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์มีแนวโน้มให้ผลดีเมื่อใช้เวลานานกว่า 1 ปี ดังนั้น หากมองในแง่ความคุ้มค่าต่อการลงทุนทางเศรษฐกิจของเกษตรกร แนะนำให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงอัตรา 200 กก./ไร่ ปลูกแบบนาหว่าน โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงในอัตราที่เหมาะสมกับความต้องการธาตุอาหารพืช สามารถลดความเสี่ยงในแง่การลงทุนสูงแต่ราคาผลผลิตในท้องตลาดผันผวนต่ำลงได้ ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันเป็นอย่างดี
เกษตรกรที่กำลังมองหาหนทางในการปรับเปลี่ยนการผลิต จากการพึ่งพาเคมีสู่เกษตรอินทรีย์ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือเข้าไปเยี่ยมชมจุดเรียนรู้การผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงได้ที่สถานีพัฒนาที่ดินทุกจังหวัด
หรือติดต่อได้ที่หมอดินอาสาในละแวกบ้าน ซึ่งนอกจากจะได้รับข้อมูลแล้วกรมพัฒนาที่ดินยังพร้อมสนับสนุนปัจจัยการผลิตต่างๆ ให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี