26 พ.ค.58 คืบหน้าตรวจสอบทรัพย์สินวัดบ้านไร่ คณะกรรมการตรวจสอบฯ สั่งแยกบัญชีทรัพย์สินเป็น 6 หมวดหมู่ ให้เวลา 1 เดือนรวบรวมส่งนายอำเภอด่านขุนทด ส่วนกรณีเงินทดรองจ่ายก่อสร้างวิหารเทพวิทยาคมกว่า 95 ล้านบาท ให้ผู้ทดรองจ่ายเงินกับคณะกรรมการวัดไปตกลงกันว่าจะดำเนินการอย่างไรนั้น เจ้าคณะจังหวัดจี้ตรวจหาที่ซุกซ่อนและสูญหาย อดีตรองกรรมการวัดโต้ข้อครหายันหลวงพ่อคูณ และวัดบ้านไร่ไม่ได้เป็นหนี้ 95 ล้าน จากการสร้างวิหารเทพวิทยาคม ยันศรัทธาในตัวหลวงพ่อ ระบุรายได้เคลื่อนไหวทุกวัน
โดยที่อาคารหอประชุมสงฆ์วัดพายัพ พระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ในระหว่างประชุมเจ้าคณะอำเภอของ จ.นครราชสีมา ในเรื่องที่เข้ามาสู่คณะสงฆ์ในช่วงเดือน พ.ค.58 ว่า ตามคำสั่งที่ตนสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ จะตรวจสอบอีกกี่วันในการเคลียร์รายละเอียดของผู้ที่เกี่ยวข้องโยงใย คงจะต้องให้เวลาทำงานไปจนกว่าจะได้รายละเอียดที่ชัดเจนเป็นที่พอใจก่อน
ฉะนั้น ตนไม่ได้ไปกำหนดวันตายตัวว่า จะต้องเสร็จวันนั้นวันนี้ เพราะลูกศิษย์ลูกหาและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องบางคนอาจจะชี้แจงได้ บางคนอาจจะยังขัดข้องทำให้ช้าบ้างก็ให้คณะกรรมการใช้เวลาตามที่เห็นว่า ควรจะยื้อหยุ่นจะกี่วันหรือ 1 เดือน เพื่อหารายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนที่มันซุกซ่อนและสูญหาย อันนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทางสื่อมวลชน ญาติโยม ต่างก็รอฟังคำตอบ สำหรับตนตอนนี้ยังคงให้คำตอบอะไรชัดเจนไม่ได้ แต่ตนเชื่อว่า เดี๋ยวอีกไม่นานคงจะได้ความกระจ่างขึ้นมาเป็นระยะๆ ไป พระราชวิมลโมลี กล่าว
ด้านนายเกรียงไกร จารุทวี อดีตรองประธานกรรมการวัดบ้านไร่ ผู้ดูแลวิหารเทพวิทยาคม เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่า หลวงพ่อคูณฯและวัดบ้านไร่มีหนี้สินจำนวน 95 ล้านบาทจากการก่อสร้างวิหารดังกล่าวว่า วิหารเทพวิทยาคมเกิดขึ้นจากการที่ตนมาสร้างพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ จึงขยายมาทำวิหารฯเนื่องจากคนก่อสร้างรายเดิมสร้างมา 3 ปี แต่ไม่แล้วเสร็จ ซึ่งตนได้มารู้จักหลวงพ่อคูณและท่านได้มอบความไว้วางใจให้สร้างวิหารกลางน้ำดังกล่าว โดยเริ่มสร้างเมื่อปี 2554 ใช้งบประมาณ 355 ล้านบาท ซึ่งเงินที่นำมาก่อสร้างนั้นไม่ได้มาจากเงินของวัดบ้านไร่ หรือ หลวงพ่อคูณ หรือเงินจากการสร้างวัตถุมงคลแต่อย่างใด แต่เป็นเงินที่ลูกศิษย์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ได้สร้างพระกริ่งเทพวิทยาคมหาเงินมาสร้างวิหารก้อนหนึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นลูกศิษย์กลุ่มนักธุรกิจและประชาชนทั่วไป บริจาคอีกกว่า 100 ล้านบาท รวมเป็นเงินกว่า 200 ล้านบาท ขณะที่เริ่มสร้างมีศิลปินประมาณ 40-50 คน และชาวบ้านอีก 400-500 คนมาช่วยกันก่อสร้าง ในช่วงนั้นหากงานหยุดชะงักไปการต่อยอดก็จะลำบาก ตนจึงปรึกษากรรมการวัดบ้านไร่ ว่า ต้องกู้เงินมาใช้ในการดำเนินการ โดยตนเองเอาหลักทรัพย์เป็นอาคารพาณิชย์ไปค้ำประกันไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนเองดำเนินการเอง โดยคณะกรรมการวัดบ้านไร่เห็นชอบด้วย และมีหนังสืออนุมัติให้กู้เงินจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งในตอนนั้นตนได้ทดลองจ่ายไปบางส่วนแล้ว ไม่ได้คิดอะไรถือว่าความศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อคูณ ตนจึงกล้าทำ ไม่เคยคิดว่าจะให้หลวงพ่อคูณเป็นหนี้ หรือวัดเป็นหนี้ แต่ตนทดลองจ่ายไป เพื่อให้งานเสร็จ และตนได้แจ้งกับคณะกรรมการวัดบ้านไร่ไปแล้วว่า ถ้าวิหารมีรายได้ก็ค่อยนำเงินมาใช้คืนก็ได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยทวงถาม แต่สิ่งที่จะต้องใช้ก่อนคือ หนี้สินร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งขณะนี้มีหนี้อยู่จำนวน 10 ล้านบาท แต่ตอนนี้ได้ใช้หนี้ไปแล้ว เหลืออยู่ 4 ล้านบาท เท่านั้น
"ผมยืนยันว่าไม่ได้เอามาใช้ในส่วนที่ตนเองทดลองจ่ายไปก่อนแต่อย่างไร แต่จะใช้หนี้ร้านค้าก่อนเพราะของตนเองตอนไหนก็ได้ ไม่เคยคิดว่าเงินก้อนนี้จะต้องได้คืนมาเร็วว่า หรือต้องให้รีบมาใช้ ไม่ได้กำหนดเวลาแต่อย่างใด"
"นายเกรียงไกร กล่าวว่า ยืนยันว่า วัดบ้านไร่และหลวงพ่อคูณไม่ได้เป็นหนี้ มีเพียงเงินที่ตนเองทดลองจ่ายไปก่อนรวมแล้ว 95 ล้านบาท และอีก 4 ล้านบาทที่เป็นหนี้ร้านค้าเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดอยู่ในงบการก่อสร้างทั้งหมด 355 ล้านบาท เงินส่วนนี้ก็รอจากรายได้ของวิหารฯ ที่จะนำมาใช้ เพราะตนไม่ต้องการเอาเงินวัดหรือของหลวงพ่อคูณมาใช้แต่อย่างใด ซึ่งเงินจำนวนนี้เป็นเงินทดรองจ่าย ไม่ใช่หนี้ เพราะไม่มีข้อผูกพันและไม่เคยมีการทำสัญญากับวัดบ้านไร่หรือหลวงพ่อคูณ เพียงแต่เงินจำนวนนี้คณะกรรมการวัดบ้านไร่รับทราบ เพราะตนจะรายงานให้คณะกรรมการฯ ทราบทุกเดือน ซึ่งการกู้เงินนั้นตนกู้มาจากเพื่อนไม่ได้ใช้บริการสถาบันการเงินแต่อย่างใด ซึ่งตนได้นำทรัพย์สินเป็นอาคารพาณิชย์ไปวางไว้เท่านั้นเอง ดอกเบี้ยก็คิดเท่ากับเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคาร และไม่เคยมีการทวงดอกเบี้ย
ส่วนรายได้ที่เกิดขึ้นจากวิหารเทพวิทยาคมนั้น มีความเคลื่อนไหวทุกวัน เฉลี่ยมีรายได้เข้าวิหารประมาณ เดือนละ 2.5-3 ล้านบาท โดยจะนำเงินเข้าบัญชีวิหารเทพวิทยาคม ของธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาด่านขุนทดทุกวัน มีพนักงานทั้งสิ้น 129 คน ซึ่งวิหารฯ ดังกล่าว บริหารโดยตนเองเพียงคนเดียว ตามหนังสือคำสั่งจากหลวงพ่อคูณที่แต่งตั้งตนเป็นผู้บริหารจัดการ รายได้มาจากการทำบุญของพี่น้องประชาชน และการจำหน่ายสินค้าในหอน้ำมนต์มีรายจ่ายประมาณ 2 ล้านบาท ทั้งค่าน้ำค่าไฟ ค้าจ้างพนักงาน บางเดือนก็เหลือ บางเดือนก็ไม่เหลือ ซึ่งตนเองผู้สำรองจ่าย ซึ่งการเบิกจ่ายเงินในบัญชีนั้น มีกรรมการวัดบ้านไร่ 3 คนคือ ประธานฯ ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ และตน 2 ใน 3 โดยมี 2 บัญชี คือบัญชีเงินฝากที่นำเงินเข้าออกประจำและบัญชีเงินเดือนพนักงาน
อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปการบริหารจัดการวิหารฯ ก็ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการวัดบ้านไร่ชุดใหม่ที่จะแต่งตั้งมา ตนไม่อาจกะเกณฑ์ได้ ส่วนเงินสำรองที่ตนจ่ายไปก่อน 95 ล้านบาทและหนี้สินร้านค้าวัสดุอีก 4 ล้านบาทนั้น ก็แล้วแต่จะพิจารณา ตนไม่ได้เจาะจงว่าจะเร่งรัด เพราะไม่ใช่เงินกู้ที่จะฟ้องร้อง ถ้าไม่คืนก็ไม่คืน ตนคิดว่า โดยจิตสำนึกต้องมองว่าชาติได้ประโยชน์อะไร ถ้าเทียบกันเงินที่ตนทดลองจ่ายไปต้องมีจิตสำนึกกันว่าจะอย่างไร แต่ไม่ใช่ให้ตนพูด เพราะตนไม่พูดอยู่แล้ว เนื่องจากเต็มใจที่จะจ่าย แต่เหนือสิ่งอื่นใดตนอยากให้วิหารเทพวิทยาคมเป็นสมบัติของชาติโดยแท้จริงและบริหารโดยรัฐบาล นายเกรียงไกร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี