29 พ.ค.58 ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คส่วนตัว Thon Thamrongnawasawat ประกาศความสำเร็จปฏิบัติการทวงคืนเงินอุทยานที่หายเข้ากระเป๋าส่วนตัว ให้กลับเข้าเป็นรายได้ของประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท
ดร.ธรณ์ ระบุว่า ปัญหาเงินรายได้จของอุทยานฯรั่วไหล ซึ่งเป็นปัญหามานานนับสิบปี แต่ไม่มีใครกล้าพูดกล้าทำ แต่วันนี้ได้เวลา"ปฏิรูป" ทุกอย่างจึงสัมฤทธิ์ผล
โดย ดร.ธรณ์ ได้ยกตัวอย่าง การเก็บค่าธรรมเนียม หมู่เกาะพีพี ของกรมอุทยานฯ 5 เดือน (ตค.57 - กพ.58) เก็บค่าธรรมเนียมได้ 12 ล้าน เฉลี่ยแล้ววันละ 80,000 บาท แต่เมื่อทีมงานจากกรมอุทยานลงพื้นที่ วันที่ 18 - 22 พ.ค. 58 สามารถเก็บเงินได้วันละ ไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท
ดร.ธรณ์ โพสต์ข้อความดังนี้
#ทวงคืนเงินอุทยาน #ปีละหลายร้อยล้าน #สำเร็จแล้วนะ ปฏิบัติการทวงคืนเงินอุทยานที่เพื่อนธรณ์ช่วยกันมาตลอด เริ่มจากประเด็นว่า ทำไมข้อมูลจากสถิติอุทยานแห่งชาติ มีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อย ทำให้การเก็บเงินค่าธรรมเนียมได้น้อยมาก ?
หลายคนทราบดีว่าทำไม? แต่ไม่มีใครกล้าพูดมาเป็นสิบปี ปล่อยให้ระบบมืดครอบงำ จนถึงเวลาปฏิรูป เพื่อนธรณ์ลุกขึ้นมา จนถึงวันนี้ ความเปลี่ยนแปลงเริ่มแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเพราะไม่ใช่มีแค่เราคิด แต่ทุกคนคิด แต่ไม่มีใครพูด จนเราพูด เกิดกระแสสังคม กระทรวงจึงรีบดำเนินการ จนท้ายสุด คณะกรรมการจากกรมอุทยานที่ตั้งขึ้นเป็นพิเศษ ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและสั่งให้ทำรายงานส่งตัวเลขนักท่องเที่ยวและค่าธรรมเนียมเป็นรายวัน ตัวเลขจึงพุ่งพรวดจากเดิมหลายเท่า
ขอยกหมู่เกาะพีพี ข้อมูลล่าสุดของกรมคือ 5 เดือนเก็บค่าธรรมเนียมได้ 12 ล้าน (ตค.57 - กพ.58) เฉลี่ยแล้ววันละ 80,000 บาท แต่เมื่อทีมงานจากกรมอุทยานลงไป วันที่ 18 พค.เก็บเงินได้ 523,000 บาท วันที่ 19 ได้ 546,000 บาท วันที่ 20 ได้ 584,000 บาท วันที่ 21 ได้ 583,000 บาท วันที่ 22 ได้ 507,000 บาท ฯลฯ
ตัวเลขที่พุ่งจากเฉลี่ยวันละ 8 หมื่นบาท เป็น 5 แสนกว่า ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น และชัดว่านี่คือการปฏิรูปที่เห็นผลเป็นรูปธรรม นี่แค่เกาะพีพี ยังมีอุทยานทางทะเลอีก 20 กว่าแห่งที่สามารถจัดการได้ และถ้าทำกันจริงจัง ปีละพันล้านบาทกลับคืนสู่รัฐ เป็นไปได้ง่ายนิดเดียว
เพราะฉะนั้น เวลาได้ยินหรืออ่านเจอว่า สปช.ไม่เห็นทำอะไร กรุณาช่วยบอกเขาว่าทำ(วุ้ย) ก็แค่พี่ไม่รู้เอง สปช. คนหนึ่ง ซึ่งรูปหล่อร่วมกับเพื่อนๆ ของเขา ทวงเงินคืนเข้าหลวงปีละพันล้าน เท่ากับงบประมาณที่ใช้ในสภาปฏิรูปทั้งหมด
อย่าบอกว่าถ้าไม่ทำ คนอื่นเค้าก็ทำเอง กรณีค่าธรรมเนียมเป็นที่รู้กันมานับสิบปี มีใครคิดทำ? มีแต่จะคิดอย่างอื่น (ไม่ได้อยากเอาหน้า แค่เบื่อเวลาได้ยิน เบื่อแล้วมันจะพาลไม่อยากทำอะไรอ้ะ)
ถึงวันนี้ ท่านนายกและท่านรัฐมนตรีเข้าใจและติดตามประเด็นนี้ กรมอุทยานขยับ จัดประชุมผู้ประกอบการในพื้นที่ กำลังจะจัดประชุมเรื่องค่าธรรมเนียมที่กรมใน 3-4 วันนี้ เป็นอันเชื่อได้ว่า ระบบเก็บเงินแบบใหม่จะถูกนำมาใช้ และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะหันไปใช้ระบบเดิมอีกแล้ว เนื่องจากตัวเลขมันค้ำคออยู่ จาก 8 หมื่นเป็น 5 แสน จะกลับมาเป็น 8 หมื่นใหม่ งานนี้เดือดแน่ครับ
ประเด็นสำคัญที่ฝากไว้ คือได้เงินเพิ่มมาหลายร้อยล้านบาทต่อปี เอาไปทำอะไร เพราะเงินนี้มีกรรมการกำกับดูแลอยู่ ขอฝากว่าควรแบ่งสัดส่วนให้ชัดเจน ไม่ใช่สุดแต่ประธานชี้นิ้วสั่งหรือเอาไปเฮ้ไฮ้เที่ยวดูงานเมืองนอกอย่างที่เคยทำ เงินต้องนำมาอนุรักษ์ปะการังและทะเลเป็นหลัก เพราะเรากำลังประสบปัญหาอย่างมาก และเรามีเงินแล้วในการแก้ปัญหา
เรื่องนี้ผมยังตามต่อ แต่รอให้ชัดก่อนว่าเอาเงินไปทำอะไร แล้วค่อยว่ากันอีกที
สำหรับเพื่อนที่สงสัย อ้าว แล้วเงินหายในอดีต ไม่ต้องตรวจสอบเหรอ? นั่นไม่ใช่หน้าที่ สปช.หรือเพื่อนธรณ์ครับ หน่วยงานตรวจสอบมีอยู่แล้ว และเขาก็กำลังทำงานอยู่ เพราะพอเราเริ่ม คนอื่นกล้า เรื่องไปที่ศูนย์ร้องทุกข์เป็นกระบุง ลองติดตามต่อไปครับ
ทั้งหมดนั้น อยากบอกเพื่อนธรณ์ว่า เรื่องค่าธรรมเนียมจบแล้ว เห็นผลชัดเจน ผมจะเริ่มเรื่องใหม่ต่อไป เรื่องสำคัญตอนนี้คือปะการังจะหมดมืองไทยใน 20 ปี และวาฬบรูด้า มาช่วยกันลุยต่อนะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี