ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมีพื้นที่ทำการเกษตรประมาณ 130 ล้านไร่ ดินจึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญทางการเกษตร และในแต่ละพื้นที่ดินนั้นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ดินเปรี้ยว ดินกรด ดินเค็ม ดินอินทรีย์ ดินทราย ดินตื้น ดินลูกรังและดินบนพื้นที่สูง กรมพัฒนาที่ดินจึงมีนโยบายให้ดำเนินการจัดทำเขตพัฒนาที่ดินในกรอบของพื้นที่ลุ่มน้ำตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งปัจจุบันได้วางเขตพัฒนาที่ดินลุ่มน้ำในพื้นที่ 77 จังหวัด ทั้งหมด 526 แห่ง ซึ่งขณะนี้ได้พัฒนาพื้นที่ดินที่เป็นปัญหาให้สามารถกลับมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นตามลำดับ พร้อมทั้งได้จัดทำ “โครงการ 60พรรษา สยามบรมราชกุมารี 60 เขตปฐพี พัฒนาอย่างยั่งยืน”โดยพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาที่ดินลุ่มน้ำ 60 แห่ง ดำเนินการสำรวจและวางแผนการใช้ที่ดิน การจัดทำแผนแม่บทเขตพัฒนาที่ดินลุ่มน้ำ เพื่อกำหนดมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำไปพร้อมกับการทำเกษตรกรรมและด้านอื่นๆ สำหรับเป็นพื้นที่ต้นแบบให้กับเกษตรกร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่
อภิชาต จงสกุล
ดร.อภิชาต จงสกุล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า กรมพัฒนาที่ดินได้คัดเลือกพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยแม่งอน เป็นพื้นที่ดำเนินการจัดทำเขตพัฒนาที่ดิน มีพื้นที่ทั้งหมด 68,534 ไร่ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1.พื้นที่เกษตรกรรม 38,816 ไร่ หรือ ร้อยละ 56.63 พื้นที่เกษตรกรรมส่วนใหญ่ที่เกษตรกรเลือกปลูกพืช เช่น นาข้าว ข้าวโพด ยางพารา ไร่ส้ม พืชผัก ข้าวโพด 2.พื้นที่ป่า มีเนื้อที่ 24,918 ไร่ หรือร้อยละ 36.36 แบ่งเป็น ป่าผลัดใบรอสภาพฟื้นฟู และ ป่าผลัดใบสมบูรณ์ 3.พื้นที่อื่นๆ มีเนื้อที่ 4,800 ไร่ หรือ ร้อยละ 7.01 จากการสำรวจพื้นที่ทั้งหมด พบว่า ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีความลาดชันสูงซึ่งมีผลต่อการเกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดินในระดับรุนแรงถึงรุนแรงมาก ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้ปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีเพื่อการบำรุงดิน และในบางพื้นที่การระบายน้ำไม่ดีจึงทำให้เกิดการท่วมขังทำลายผลผลิตทางการเกษตร
นอกจากนี้ ฤดูการเพาะปลูกพืชส่วนใหญ่ยังอาศัยน้ำฝน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนเมษายนไปจนถึงประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน จากช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงกลางเดือนเมษายนจะเป็นช่วงการขาดน้ำของพืช หากทำการเพาะปลูกในช่วงเวลาดังกล่าว จะต้องมีระบบการชลประทานหรือแหล่งน้ำเข้ามาช่วยสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมเท่านั้นจึงจะให้ผลตอบแทนคุ้มค่า
กรมพัฒนาที่ดินได้กำหนดเขตการใช้ที่ดินออกเป็น 4 เขตหลัก คือ / 1.เขตป่าไม้ มีเนื้อที่ 39,613 ไร่ หรือร้อยละ
57.81 แบ่งออกเป็น 2 เขตย่อย คือ เขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ มีเนื้อที่ 37,400 ไร่ หรือร้อยละ 54.58 เขต และเขตพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ มีเนื้อที่ 2,213 ไร่ หรือร้อยละ 3.23 / 2.เขตเกษตรกรรม มีเนื้อที่ 24,121 ไร่ หรือร้อยละ 35.18 / 3.เขตปศุสัตว์
มีเนื้อที่ 8 ไร่ หรือร้อยละ 0.01 / 4.เขตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีเนื้อที่ 64 ไร่ หรือร้อยละ 0.09 โดยในแต่ละเขตได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการสำรวจความเหมาะสมของดิน วิเคราะห์ วางแผนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
ดร.อภิชาตกล่าวอีกว่า ผลของการดำเนินการพัฒนาที่ดินลุ่มน้ำแม่งอน พบว่าปัญหาการชะล้างพังทลายของดินลดลงและไม่เกิดดินถล่มซ้ำอีก คุณภาพน้ำในลำห้วยต่างๆดีขึ้น ดินเสื่อมโทรมและความอุดมสมบูรณ์ต่ำได้รับการปรับปรุงฟื้นฟูทำให้ดินมีอินทรียวัตถุเพิ่มขึ้น ปัญหาดินกรดได้รับการแก้ไขทำให้ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) สูงขึ้น หมอดินอาสามีความรู้เพิ่มขึ้น สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินให้แก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ เกษตรกรสามารถเข้าถึงการบริการเพิ่มขึ้นจากศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาที่ดิน มีแหล่งที่เก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฝนทิ้งช่วงหรือฤดูแล้งเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรมีการใช้ประโยชน์ที่ดินตามศักยภาพของดินเพิ่มขึ้น ชุมชนในพื้นที่เห็นประโยชน์จากระบบอนุรักษ์ดินและน้ำและสามารถใช้ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ลิ้นจี่ ส้ม กาแฟ ทำให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน อย่างไรก็ตามยังคงมีพื้นที่ยังไม่ได้ดำเนินการอีก 5,612 ไร่ ซึ่งได้จัดเตรียมแผนแม่บทรองรับไว้แล้วในปีงบประมาณ 2558-2662
ผลของการจัดทำโครงการเขตพัฒนาที่ดิน ลุ่มน้ำห้วยแม่งอนสามารถทำให้ผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มจากเดิม
เกษตรกรมีความสุขและใช้ชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ต้นแบบในการอนุรักษ์ปรับปรุงดินที่สามารถถ่ายทอดความรู้ไปสู่ชุมชน หรือ ตามพื้นแนวลุ่มแม่น้ำต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี