เช็คสต๊อก47ห้องเย็น
อาหารทะเล
บริโภคได้นาน3เดือน
พณ.บุกตรวจตลาดสมุทรสาคร
สั่งติดป้ายคุมเข้มห้ามโขกราคา
จาระเม็ด/ปลาเก๋าขยับโลละ100
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์(พณ.) ลงพื้นที่ตรวจการจำหน่ายสินค้าอาหารทะเล
ที่ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม หลังเกิดผลกระทบจากการหยุดออกเรือของผู้ประกอบการเรือประมงเนื่องจากหวั่นเกรงถูกจับเรือผิดกฏหมายตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคมเป็นต้นมา โดยอธิบดีกรมการค้าภายในยอมรับว่า ขณะนี้ปริมาณสินค้าอาหารทะเลที่เข้าสู่ตลาดลดลง แต่ยังเพียงพอต่อการบริโภค
พณ.สั่งคุมเข้มราคาอาหารทะเล
ส่วนราคาอาจมีการปรับตัวสูงขึ้นบ้างแต่ยังอยู่ในราคาที่เหมาะสมกับต้นทุน ซึ่งตนได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลผู้ประกอบการห้องเย็น ให้ความร่วมมือไม่กักตุนสินค้าทำเพื่อกำไร และระบายสินค้าออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่มีการประกาศราคาควบคุมสินค้า เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีการปรับราคาขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา โดยจะส่งเจ้าหน้าออกตรวจอย่างเข้มงวด ให้ปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคา
“ช่วงนี้สินค้ามีปริมาณน้อยลงจากการปิดอ่าว จนถึงวันที่ 31 ก.ค. นี้ และทางฝั่งอันดามัน เพิ่งจะมีการเปิดอ่าว อีกทั้งเรือประมงบางส่วนไม่สามารถออกทำการประมงได้ เพราะไม่มีใบอนุญาตการทำประมงที่ถูกกฎหมาย ”นายบุณยฤทธิ์ ระบุ
เช็คสต๊อก47ห้องเย็นอยู่ได้3ด.
และย้ำว่าจากการตรวจสอบสต็อกในห้องเย็นอาหารทะเลแช่แข็ง ว่ายังมีสต็อกเหลือที่เพียงพอต่อการบริโภคต่อเนื่องได้อีก 2-3 เดือน โดยห้องเย็นในจังหวัดสมุทรสารนั้นมี 47 แห่ง ปริมาณที่สามารถเก็บรอบรับได้ 2.57 แสนตัน ปริมาณสต็อกที่มีอยู่ในขณะนี้คิดเป็น 60-70% หรือมีอยู่ประมาณ 1.5-1.6 แสนตัน
ขณะเดียวกันยังได้แนะนำให้ประชาชนหันไปบริโภคสินค้าประมงน้ำจืด และน้ำกร่อยทดแทนอาหารทะเล และได้ประสานกับกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำกว่า 135 รายใน 39 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเชื่อมโยงสินค้าประมงน้ำจืดเข้าสู่ตลาดแล้ว
เตรียม3แนวทางช่วยผู้บริโภค
ด้านนายปรีชา ศิริแสงอารำพี ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสาคร และผู้บริหารตลาดทะเลไทย ซึ่งเป็นตลาดค้าส่ง-ปลีกอาหารทะเลรายใหญ่ในประเทศ ยืนยันว่าอาหารทะเลจะมีเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศอย่างแน่นอน และขณะนี้ผู้ประกอบการได้เตรียมแผนไว้ 3 แนวทางเพื่อผู้บริโภค คือ อาหารทะเลที่ยังคงมีอยู่ในห้องเย็น อาหารทะเลนำเข้าจากต่างประเทศ และจากการการเลี้ยงจากบ่อเลี้ยง ซึ่งมีปลาหลายชนิดเช่น ปลากะพงขาว และกุ้ง เป็นต้น ซึ่งไม่น่ามีปัญหามากนัก แต่ราคาอาจเพิ่มขึ้น 10-15เปอร์เซ็น และคาดว่าสถานการณ์ภายในประเทศน่าจะคลายตัวในเร็วๆ นี้
นายปรีชายังห่วงใย กลุ่มโรงงานแปรรูป ทั้งเพื่อการบริโภคในประเทศและการส่งออก เพราะทางโรงงานจะมีคำสั่งซื้อที่แน่นอน แต่เมื่อไม่มีวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานก็จะทำให้ไม่สามารถส่งสินค้าได้ทันตามที่ได้รับคำสั่งซื้อนั้นๆ ที่จะต้องออกทุกวัน กระทบต่อการดำเนินงาน และแรงงานในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเล ซึ่งน่าจะเป็นผลกระทบที่มากกว่า
ปรับแผนขายสัตว์น้ำจืด
นางสาวชนกนาถ ติตะพานิชย์ ผู้ค้าอาหารทะเลสด ตลาดทะเลไทย กล่าวว่า สถานการณ์อาหารทะเลสดในแง่ปริมาณ สินค้ายังไม่ลดลง เพราะยังคงมีเรือประมงทยอยกลับเข้าฝั่ง และยังมีสต็อกอาหารทะเลในห้องเย็นอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้แผงจำหน่ายสินค้ายังคงมีวางจำหน่ายปริมาณเท่าเดิม
แต่ยอดขายลดลง 10-15 เปอร์เซ็น และหากสถานการณ์หยุดเดินเรือประมงยังคงยืดเยื้อ คงต้องปรับแผนนำสัตว์น้ำจืดเข้ามาจำหน่ายแทน
จาระเม็ดขาวพุ่งอีกกก.ละ100
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจราคาของค้าภายในจังหวัด สมุทรสาคร พบว่า เช่น ปลาอินทรีย์ ราคาขึ้นมา 80 บาทต่อกก. ซึ่งตอนนี้มีราคาจำหน่ายที่กก.ละ 250 บาท, ปลากะพงขาว ราคาขึ้นมา 50 บาทต่อกก. โดยตอนนี้จำหน่ายที่กก.ละ 250 บาท, ปลากะพงแดง ราคาขึ้นมา 40 บาทต่อกก. โดยตอนนี้จำหน่ายที่กก.ละ 270 บาท,ปลาเก๋า ราคาสูงขึ้นค่อนข้างมาก จากเดิม กก.ละ 300 บาทมาอยู่ที่ 400 บาทต่อกก., ปลาจาระเม็ดขาว ราคาขึ้นมา 100 บาทต่อกก. หรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 680 บาทต่อกก. ขณะที่กุ้งและปลาหมึกยังจำหน่ายในราคาเดิม โดยกุ้ง 50 ตัว ราคากก.ละ 250 บาท ปลาหมึกกล้วย กก.ละ 200 บาท
อีสานคุมเข้มป้องกันโขกราคา
ในขณะที่นายสุทธิศักดิ์ พรหมบุตร พาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ ออกตรวจร้านจำหน่ายอาหารทะเลสดในตลาดสดเทศบาล เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสกักตุน และปรับขึ้นราคาอาหารทะเลเอาเปรียบผู้บริโภค ในช่วงนี้ ทั้งสั่งให้มีการติดป้ายจำหน่ายให้ชัดเจน ซึ่งในขณะนี้ยังไม่พบว่าอาหารทะเลขาดตลาดแต่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยกิโลกรัมละ5-10 บาทอาทิ ปลาหมึก หอยลาย หอยแครง
ด้านที่จังหวัดหนองคาย ประชาชนชาวลาวนิยมซื้ออาหารทะเลจากตลาดในหนองคายก่อนเดินทางกลับ และขณะนี้ราคาขยับตัวเพิ่มและปริมาณอาหารทะเลก็ลดลง ส่งผลให้
ซึ่งปลาน้ำโขงตามธรรมชาติที่ขายดีในช่วงนี้คือปลาคัง ปลาแข้ ปลาตองกราย และปลาบึก
หนุนบิ๊กตู่ปฎิรูปการประมง
วันเดียวกัน นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวในงานสัมมนา “ความสำคัญของอุตสาหกรรมการประมงต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย” โดยสนับสนุนรัฐบาล ที่บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการประมงอย่างจริงจัง เพราะไม่เช่นนั้นจะถูกตอบโต้จากนานาชาติ ซึ่งเกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ดังนั้นทุกคนต้องรีบช่วยกันแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเพราะเป็นเรื่องของชาติ
นายกมลศักดิ์ เลิศไพบูลย์ เลขาธิการสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ชาวประมงทำผิดกฎหมายมานานจนเคยชิน เพราะปัจจุบันมีเรือประมงที่ถูกกฎหมายเพียง 7 พันลำ หรือแค่ 16% เท่านั้น แต่ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งมีใบอนุญาตเครื่องมือจับสัตว์น้ำไม่ตรงกับความจริง ซึ่งต้องหาทางแก้ไข
อธิบดีประมงชี้เป็นเรื่องดี
นายจุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง มองว่า การเริ่มบังคับใช้กฎหมายใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการจัดระเบียบเรื่องเรือประมง, ลูกเรือ ตลอดจนเครื่องมือในการทำประมง ซึ่งหลังจากนั้นจะมีการพิจารณาเรื่องแนวทางการฟื้นฟูสภาพทะเลและทรัพยากรสัตว์น้ำ จึงอยากขอร้องให้ทุกคนร่วมมือกัน
ปัตตานีจี้ขอขยายเวลาอีกระยะ
เช้าวันเดียวกัน ที่บริเวณลานด้านหน้าอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 เขตเทศบาลเมืองปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี นายสุรัตน์ ธวัชสานนท์ แกนนำกลุ่มเรือประมงและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องต่อประมงในพื้นที่ จ.ปัตตานี ได้นำผู้ประกอบการเรือประมง และอุตสาหกรรมกว่า 200 คน ทำหนังสือถึง ผวจ.ปัตตานี ขอความเห็นใจให้แก่ผู้ประกอบการเรือประมงที่ยังไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงให้เรือประมงถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งได้ถูกห้ามออกจับสัตว์น้ำในทะเลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา
กลุ่มชาวประมงปัตตานีได้ยื่นข้อเรียกร้อง 4 ข้อที่สำคัญที่สุดคือให้ยืดเวลาการขึ้นทะเบียนเรือประมงตามหลังสากลของ IUU ออกไปอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะการขอใบอนุญาตอาชญาบัตรทั้งยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือเต็มที่
นายวัชรินทร์ รักษ์ยอดจิตร ประมงจังหวัดปัตตานี ได้กล่าวว่า ที่ผ่านมาที่ไม่สามารถออกใบอาชญาบัตรได้เนื่องจากมีเรือเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และผิดเงื่อนไขกรมประมง แต่ อีกไม่นานเรือทุกลำก็ต้องปฎิบัติตามที่ทางราชการกำหนด สามารถออกไปจับปลาได้เหมือนเดิม
ชุมพรขอผ่อนผันเครื่องมือผิดกม.
ด้านนายพิศาล ตันติวิชยะ นายกสมาคมประมงปากน้ำชุมพร นายพิจิตร แซ่ลี้ นายกสมาคมประมงร่วมใจชุมพร และนายไตรฤกษ์ มือสันทัด นายกสมาคมประมงปากตะโก พร้อมเจ้าของเรือประมง ผู้ประกอบการแพปลา และแรงงานประมงกว่า 200 คน นำเรือประมงประเภทอวนรุน อวนลาก อวนครอบ อวนปลากระตัก จำนวนกว่า 50 ลำ ที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนต่ออาชญาบัตรทำการประมง เนื่องจากเรือใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมายที่ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำ มาจอดหน้าร่องน้ำ อ่าวปากน้ำชุมพร
พร้อมทำหนังสือถึงรัฐบาล ขอความเห็นใจ ให้ช่วยผ่อนปรนออกอาชญาบัตรให้แก่ชาวประมงที่ถูกกล่าวหาว่า ใช้อุปกรณ์เครื่องมืออย่างผิดกฎหมาย ให้สามารถออกทำการประมงก่อน โดยมีเงื่อนไขในช่วงระยะหนึ่งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวประมงที่ลงทุนเสียค่าใช่จ่าย ทั้งจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือ ค่าจดทะเบียนแรงงาน โดยมีนายประจินต์ ธารศิริสิน นายอำเภอเมืองชุมพรเป็นผู้รับหนังสือจากชาวประมง
จับปลาคืนเดียวได้2.5ล้าน
นายเจริญชัย ศรีสุวรรณ หัวหน้าศูนย์บริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลฝั่งอันดามัน เข้าตรวจสอบที่แพปลา โกหงวน อ.เมืองกระบี่ หลังจากรับแจ้ง ว่า มีเรือประมงอวนดำ สามารถจับปลาได้จำนวนมากเป็นประวัติการณ์ โดยพบ เรือสาวทะเล ขนาด 40 ตันกรอส ที่กำลังขึ้นปลาจากเรือ พบเป็นปลามง จำนวนกว่า 20 ตัน ทางลูกเรือได้เร่งนำบรรจุลัง อัดน้ำแข็งและทยอยนำส่งไป ขายยังจังหวัดสงขลา
นายเจริญชัย กล่าวว่า ปลาที่จับได้ส่งขายอยู่ที่กก.ละ 125 บาท ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ ไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท ถือเป็นการทำประมงเหมือนถูกหวย เพราะทำงานเพียงแค่คืนเดียว และจับได้มากเป็นประวัติการณ์ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้จับได้มากในครั้งนี้ เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดอ่าว และไม่มีเรืออวนลากเข้ามาทำประมง ในทะเลกระบี่ เพราะมีการคุมเข้ม ตามมาตรการของรัฐบาล ประกอบกับเรือในจังหวัดกระบี่ ที่เป็นเรือพาณิชย์มีอยู่ประมาณ 20 ลำ ทั้งหมดเป็นเรืออวนดำ และทำถูกต้องตามกฎหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี