ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นมา เรือประมงทั่วประเทศ ซึ่งมากที่สุดคือที่ภาคใต้ เนื่องจากภาคใต้มีทะเลล้อมแผ่นดินทั้ง 2 ด้าน นั้นคือทะเลอ่าวไทย หรือทะเลจีนใต้ และทะเลอันดามัน หรือมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งสาเหตุที่เรือประมงหยุดการเดินเรือเพื่อทำการประมงครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก การที่รัฐบาลเป็นผู้ประกาศที่จะใช้ กฎหมาย ในการควบคุมเรือประมง ให้เป็นไปตามกฎหมายการทำประมง เพื่อให้เรือประมงทุกลำเป็นเรือประมง ที่ทำการประมง โดยถูกต้องตามกฎหมาย
สาเหตุมาจาก สหภาพยุโรป ได้ขึ้นบัญชีประเทศไทยในข้อหามีการใช้แรงงานเถื่อน มีการค้ามนุษย์ในเรือประมง หรือบัญชี “เทียร์ 3” และยื่นข้อเรียกร้องมายังรัฐบาลว่า ถ้ารัฐบาลไทยไม่สามารถ หยุดการค้ามนุษย์ และ แรงงานเถื่อน สหภาพยุโรป หรือ “อียู” ก็จะไม่ให้อาหารทะเลจากประเทศไทยเข้าสู่สหภาพยุโรป หรือหากมีการนำเข้า จะต้องเสียภาษีในราคาแพง ซึ่งจะทำให้อาหารทะเลจากไทย แข่งขันกับประเทศอื่นๆ ไม่ได้
ปัญหาของประมงส่วนใหญ่ในประเทศไทย และในภาคใต้คือ เรือประมงที่ออกทำการประมง ไม่มีใบอนุญาต ที่เรียกว่า “อาชญาบัตร”มีการนำแรงงานเถื่อนเป็น “ลูกเรือ” และส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรือประมงพาณิชย์ หรือเรือประมงน้ำลึกใช้แรงงานทาส ในการทำการประมง
สำหรับแรงงานทาสนั้น คือการที่ “นายหน้า” ค้าแรงงาน ทำการหลอกลวงแรงงาน ทั้งที่เป็น “คนไทย” และที่เป็นคน “ต่างด้าว” มาขายให้กับ “นายทุน” เจ้าของเรือประมง เมื่อ “นายทุน” รับซื้อไปแล้ว ก็จะนำแรงงานเหล่านั้นไปเป็น “ลูกเรือ” โดยไม่ต้องจ่ายค่าแรง และใช้แรงงานเหล่านั้น โดยไม่ให้ขึ้นฝั่ง จนกว่า “นายทุน” จะพอใจ หรือ“แรงงาน” จะหลบหนี ซึ่งเรื่องแรงงานทาส ในเรือประมง เป็น “ข่าว”ที่โด่งดังมานานกว่า 10 ปี แต่รัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยสนใจในการแก้ปัญหา
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้แก้ปัญหาแรงงานเถื่อน แรงงานทาสในเรือประมง โดยพ่วงเอากฎหมายในข้ออื่นๆ ที่เป็นกฎหมายบังคับใช้กับการทำประมงรวม 15 ข้อ และให้เรือประมงทุกลำ ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือนจึงสร้างความ “ระส่ำระสาย” ให้เกิดขึ้นกับ “ทายทุน” เจ้าของเรือประมงในทันที เนื่องจาก เรือประมง “ส่วนใหญ่” เป็นเรือที่ไม่เคยทำตามกฎหมายประมง และถึงทำก็มีไม่ครบทั้ง 15 ข้อ
ซึ่งกฎหมายทั้ง 15 ข้อ ที่กล่าวถึงคือเรือทุกลำต้องมี 1.อาชญาบัตร2.ทะเบียนเรือไทย 3.ใบอนุญาตใช้เรือ 4.ใบประกาศนายท้าย5.ใบประกาศช่างเครื่อง 6.ใบอนุญาตใช้วิทยุ 7.ใบประกาศนียบัตรใช้วิทยุ8.บัตรประชาชน 9.บัตรประชาชนนายท้ายเรือ 10.บัตรประชาชนช่างเครื่อง11.บัตรประชาชนไต๋เรือ 12.ทะเบียนลูกจ้าง 13.บัตรสีชมพู 14.สัญญาจ้าง15.ติดตั้งเครื่องบอกพิกัดเรือ และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า การทำประมงที่ผ่านมา ผ่านไปแล้วกว่า 50 ปี กรมประมงไม่เคยที่บังคับใช้กฎหมายในการทำประมง และเจ้าของเรือประมงก็ไม่เคย “สนใจ” ในการทำตามกฎหมายการทำประมง เรือส่วนใหญ่จึงเป็นเรือที่ไม่ได้ขออาชญาบัตร เพราะถึงขอเจ้าหน้าที่ก็ออกให้ได้ เพราะเครื่องมือการทำประมงผิดประเภท ส่วนในข้อบังคับเรื่องอื่นๆ อีก 14 ข้อ ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง และที่สำคัญคือ ถ้าเรือที่ไม่มีอาชญาบัตรต้องการทำให้เรือถูกต้องตามกฎหมายประมง เพื่อได้อาชญาบัตรในการประกอบการประมง เรือเหล่านั้นต้อง “ลงทุน” เพิ่ม ลำละ 2 แสน-5 แสนบาท
ดังนั้นเรือประมงที่จำเป็นต้องเข้า “เทียบท่า” อาจจะไม่ใช่เป็นการ“ประท้วง” รัฐบาล หรือเป็นการ “ต่อรอง” กับกรมประมงในการขอ“ผ่อนผัน” และขอ “ยกเว้น” ในข้อกฎหมายหลายข้อ แต่เป็นเพราะกลัวการถูก “จับกุม” จากเจ้าหน้าที่ ตามคำสั่งของ รัฐบาล และ หัวหน้า คสช.
จากการสำรวจตัวเลขในหลายจังหวัดของภาคใต้ พบว่าที่ จ.สงขลา ซึ่งมีเรือประมงอยู่ประมาณ 1,000 ลำ มีเรือที่ถูกต้องตามกฎหมายประมงเพียง 100 ลำเศษ ดังนั้น วันนี้จึงมีเรือจอดเทียบท่า800 กว่าลำ เช่นเดียวกับที่ จ.ปัตตานี จ.นครศรีธรรมราช จ.สตูล จ.ตรัง และ อื่นๆ ที่ เรือกว่า 80 เปอร์เซ็นต์หยุดทำประมง โดยมีเรือเพียง20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ถูกต้อง และออกทำการประมงได้
สิ่งที่ตามมากับการจอด “เทียบท่า” ของเรือประมงในภาคใต้ ไม่ได้หมายความว่า “นายทุน” เจ้าของเรือเพียงฝ่ายเดียวที่เดือดร้อน แต่ ลูกเรือ และแรงงานจำนวนมาก ทั้งในเรือ และ บนฝั่ง ที่เป็นลูกจ้างแพปลาและอื่นๆ จำนวนมาก ต้อง “ตกงาน” ไปด้วย ส่วนกิจการที่เกี่ยวข้องกับเรือประมงคือ แพปลา ห้องเย็น โรงน้ำแข็ง โรงงานปลาป่น และโรงงานอุตสาหกรรมอาหารทะเลคือ “ห่วงโซ่” ที่ได้รับผลกระทบ และผลกระทบที่ตามมี คือ พ่อค้า แม่ค้าปลา ในตลาดสด แม่ค้าข้าวแดง และประชาชนผู้ “กินปลา” ทุกครัวเรือน เพราะหลังจากเข้าสู่วันที่ 6 ของการหยุด “จับปลา” อาหารทะเลทุกชนิด ต่างทยอยปรับราคาขึ้นไปแล้ว
แน่นอนว่า ในระยะสั้นๆ ผลกระทบกับผู้ “กินปลา” ในพื้นที่อาจจะยังไม่เห็นชัดเจน เนื่องจากยังมี กุ้ง หอย ปู ปลา จากชาวประมงพื้นที่ วางขายให้ซื้อหา แต่ก็ต้องซื้อหาในราคาที่สูง รวมทั้งยังมีปลาที่เลี้ยงในกระชัง ที่อาจจะเพียงพอในการซื้อหา แต่ข่าวร้าย สำหรับผู้เลี้ยงปลาในกระชังคือ เมื่อโรงงานปลาป่นได้รับผลกระทบ อาหารปลา ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน และนั่นหมายความว่า ปลาในกระชังจะต้องขายในราคาที่อาจจะให้ผู้บริโภคเดือดร้อน
เรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย และเรื่องการใช้กฎหมายทั้ง 15 ข้อ กับเรือประมงในน่านน้ำไทย เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และควรจะทำมานานแล้ว รวมทั้งเมื่อนำกฎหมายมาบังคับใช้อย่างจริงจัง จะทำให้เรือประมง ที่ทำประมงแบบ “ทำลายล้าง” สัตว์ทะเลต้องหมดไปโดยปริยาย ซึ่งในอนาคตจะทำให้สัตว์น้ำในทะเลไทยมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
แต่..การใช้ “ยาแรง” โดยหวังผลทางกฎหมายอย่างเดียว อาจจะใช้ไม่ได้ ในภาวะที่ประเทศเต็มไปด้วยปัญหา โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง “เศรษฐกิจ” ที่ประเทศนี้ยังต้องพึ่งพาการ “ส่งออก” และสัตว์น้ำที่เรือประมงเหล่านี้จับได้จำนวน 70 เปอร์เซ็นต์ เพื่อส่งออก เมื่อเกิด “วิกฤติ” ประมงขึ้น จึงทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างกว้างขวาง
สิ่งที่รัฐบาลและ “นายทุน” เจ้าของเรือประมงควรจะทำคือการ “พูดคุย” เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดย “นายทุน” และคนที่อยู่ใน “วงจร” การทำประมง ต้องยอมรับถึงความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองของโลก และต้องยอมรับใน “กติกา” ในการที่จะอยู่ร่วมกัน ในขณะที่รัฐบาลต้องอาจจะยอม “ผ่อนผัน” และยกเว้นในข้อกฎหมายบางข้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “แรงงานเถื่อน” และ “แรงงานทาส” ตามที่สหภาพยุโรปเป็นผู้ “กำหนด” เพื่อให้เกิดการ “ผ่อนคลาย” และ สามารถที่จะทำให้ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นได้บรรเทาลง
วันนี้ถ้าปัญหาของเรือประมงคือ “คนป่วย” และรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบในการ “พยาบาล” สิ่งที่ รัฐบาลทำคือการ “ผ่าตัดด้วยแผนงานและแพทย์ที่สมบูรณ์พร้อม แต่..คนไข้ตาย” ดังนั้น จึงอาจจะต้องหา “ทางออก” ด้วยการผ่าตัดที่ไม่สมบูรณ์พร้อม แค่คนไข้อยู่รอดปลอดภัย ซึ่งเป็น “ทางออก” ที่ทั้งสองฝ่ายต้อง “พูดคุย” กันว่าจะเลือกแบบไหน เพื่อคลี่คลายวิกฤติประมงไทยที่เกิดขึ้น
เมือง ไม้ขม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี