ผมเพิ่งไปร่วมงานศพบิดาของเพื่อน ได้เจอกับอดีตนักการเมืองระดับอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันดี เลยตั้งวงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังรุมเร้าด้วยสารพัดวิกฤติก็มีความเห็นพ้องกันว่า ไม่ว่าปัญหาการเมืองเรื่องรัฐธรรมนูญที่ยังวุ่นวายไม่เลิก ปัญหาความมั่นคงของรัฐบาลที่ถูกท้าทายด้วยการเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม 14 นักศึกษาที่ถูกจับกุมไปดำเนินคดีเข้าทางในการขยายผลให้อีกหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวตาม จนเป็นข่าวหัวไม้ต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์แล้วนั้น ล้วนแต่ยังถือเป็นเรื่องที่รัฐบาล คสช.“เอาอยู่” ไม่น่าหนักใจอะไรมากมายนัก
แต่ที่อาการหนัก มีสิทธิสูงที่จะทำให้รัฐบาลคสช.ซวดเซ จนอาจจะไปไม่รอดได้ อยู่ที่ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องชาวบ้าน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆที่ออกมาฟ้อง ขณะที่ความรู้สึกชาวบ้านก็รู้ตัวกันดี ทั้งเกรงกันว่า ภายในปีนี้ถึงปีหน้า จะเลวร้ายลงไปถึงขนาดไหน ที่แน่ๆตอนนี้รู้สึกว่า มันแย่กว่าตอนที่มี“ม็อบสีต่างๆ”เสียอีก
ไม่ว่าวงสนทนากลุ่มไหน เวทีใดที่ผมมีโอกาสร่วมแจมในช่วงนี้ ต่างก็สนใจสอบถามด้วยความเป็นห่วงมากต่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่กำลังถูกรุมเร้าด้วยสารพัดปัจจัยลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง“วิกฤติภัยแล้ง”ที่ส่งผลอย่างสาหัสสากรรจ์ต่อภาคการเกษตร แล้วยังกระทบไปถึงผู้คนทุกภาคส่วน เฉพาะชาวนาที่ไม่ได้ทำนาปรังปี 2557 มานาปี 2558 ก็ยังมีสิทธิ์ไม่ได้ทำกันเป็นจำนวนมาก ทั้งอาจไม่ได้ทำไปถึงนาปรังปี 2558 อีก...หนักหนาขนาดนี้ จะเอาอะไรกินกัน
เจอวิกฤติภัยแล้งที่รุนแรงเป็นประวัติการณ์ทำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องรับบทหนัก ถูกกดดัน ถูกด่าถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำ ยิ่งกรมชลประทานที่ตัวอธิบดี-เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ก็อยู่ในภาวะเก้าอี้สั่นคลอน เพิ่งโดนนายกฯบิ๊กตู่แสดงอาการฉุนเฉียวใส่ ในที่ประชุมครม.สัญจรที่เชียงใหม่เมื่อสัปดาห์ก่อน จากการที่ไม่สามารถชี้แจงเรื่องระบบน้ำให้เคลียร์ได้
ล่าสุดยังถูกนักวิจัยสกว.อย่างรศ.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ จากหน่วยปฏิบัติการวิจัยระบบการจัดการแหล่งน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาแถลงถึงผลวิจัยที่ชี้ว่า สถานการณ์ภัยแล้งที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปีนี้ 2558 จากปัญหาน้ำในเขื่อนใหญ่ที่ลดลงมากจนไม่เพียงพอ ก็เป็นเพราะความผิดพลาดในการบริหารจัดการปล่อยน้ำของกรมชลประทาน เพื่อการทำนาปรังในช่วง 3-4 ปีมานี้และการคาดสถานการณ์น้ำฝนผิด เกิดเป็นความเสี่ยงสะสมมาจนกลายเป็นวิกฤติภัยแล้งในปัจจุบัน
ดูแล้ว อธิบดีเลิศวิโรจน์อาจต้องกลายเป็น“เครื่องเซ่น”สังเวยให้กับวิกฤติภัยแล้งในไม่ช้า ก็เป็นไปได้
อีกเรื่องหนึ่งในหน้าที่กระทรวงเกษตรฯอันมีผลซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย คือเรื่อง“ประมง” ที่บรรดาเรือตังเก 22 จังหวัดชายทะเลได้หยุดออกหาปลา เพื่อสร้างแรงกดดัน ต่อรองกับรัฐบาลคสช.ที่กำลังเดินหน้าจัดการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายอย่างจริงจัง ก่อนที่จะถูกอียู-สหภาพยุโรปให้ “ใบแดง” คว่ำบาตรสินค้าประมงไทย หลังจากที่โดน“ใบเหลือง”แจ้งเตือนมาก่อนหน้านี้
เรื่องนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับธุรกิจประมง แต่ยังมีผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปทั้งอุตสาหกรรมอาหารทะเล ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร,โรงงานแปรรูป,โรงงานอาหารสัตว์ ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบ ตลอดจนความเดือดร้อนของแพปลา,โรงงานน้ำแข็ง และอื่นๆ ทั้งกระทบต่อผู้บริโภคจากการที่ราคาอาหารทะเลสูงขึ้นทันที แล้วยังมีผลกระทบต่อ“แรงงาน”หลายแสนคนในระบบ
แล้วแรงงาน“ประมง”จำนวนมหาศาลนั้น เป็นที่รู้กันอยู่ว่า เป็นแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะชาวพม่า ถ้างานนี้ จบลงโดยที่เรือตังเกนับหมื่นๆลำอาจต้องเลิกกิจการไป ก็น่าหวั่นว่า แรงงานพม่าที่ตกงาน จะไปไหน? จะมีการออกนอกลู่นอกทาง ไปก่อปัญหาอาชญากรรม เป็นพิษเป็นภัยต่อความสงบสุขหรือความมั่นคงขนาดไหน
วิกฤติภัยแล้งและปัญหา“ประมง”ล้วนเป็นปัญหาที่ถูกหมักหมมสะสม จนเลวร้ายมาจากรัฐบาลชุดก่อนๆ แต่เมื่อ“ฝี”มาแตกเอาตอนนี้ ในยุคที่มีรัฐบาลมาด้วย“วิธีพิเศษ”ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังว่าจะกลายเป็น“เงื่อนไข”ถูกเอาไปใช้ปลุกระดมของกลุ่มที่ต้องการล้ม คสช.
ซึ่งนี่จะเป็นเงื่อนไข เงื่อนตาย ที่น่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องเรียกร้องประชาธิปไตยของบรรดานักศึกษา-อาจารย์คลั่ง“เลือกตั้ง” ทั้งหลายอย่างแน่นอน
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี