“ลิเกเป็นเพียงสิ่งที่ดึงคนมาอยู่ด้วยกัน แต่สิ่งที่ผมสอนจริงๆ คือการสอนการดำเนินชีวิต การอยู่ในสังคม”
เป็นความสรุปที่ “สะเทื้อน นาคเมือง” หรือที่ใครๆ เรียกกันว่า “ครูเผ” ครูสอนศิลปะการแสดงพื้นบ้านที่ทุ่มเทชีวิตให้แก่เด็กด้อยโอกาสให้ได้มีโอกาสที่จะมีข้าวกินอิ่ม มีที่อยู่ มีรายได้ และมีโอกาสทางการศึกษา แห่งอำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร
ผู้ที่ได้รับเสนอชื่อเข้ารับพระราชทาน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” โดยผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลในระดับ “ครูยิ่งคุณ” ประจำปี 2558 ของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และ กระทรวงศึกษาธิการ
จากเรื่องราวของชีวิตจริงในหนหลังที่แสนรันทดของเด็กกำพร้าขาดพ่อ เด็กชายสะเทื้อน ที่เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็น “เด็กด้อยโอกาส” ขาดแคลนทุกด้านรวมทั้งความอบอุ่นจากครอบครัว แต่ได้โอกาสจากครูแนะแนวโรงเรียนมัธยมให้เข้าไปอยู่ด้วยในบ้านทั้งส่งเสียเลี้ยงดูจึงเป็นประกายชีวิตและแบบอย่างให้เด็กชายสะเทื้อนมุ่งเป้าชีวิตไปเป็นครู เพื่อให้โอกาสแก่เด็กตามแบบอย่างที่ตนเองได้รับมา
แต่เมื่อโชคชะตาพลิกผันไม่อาจเป็นครูได้ดังหวัง ก็พลิกผันชีวิตมาเล่นลิเกเป็นสัมมาชีพตามแบบอย่างแม่ ที่ใช้หารายได้ส่งตนเองเรียนจบอนุปริญญา และระหว่างการตระเวนเล่นลิเกนั้นเอง จิตวิญญาณแห่งความเป็นครูก็สว่างขึ้นในใจ สะเทื้อน ตลกลิเก ได้ชักชวนเด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษาให้เข้ามาหัดลิเก ด้วยเห็นเป็นหนทางแห่งรายได้แก่เด็กด้อยโอกาสเหล่านั้น
หลังจากนั้นชื่อ “ครูเผ” ก็เกิดขึ้นในฐานะผู้สอนศิลปะการแสดงพื้นบ้านให้แก่เด็กด้อยโอกาส และจากการเริ่มต้นอย่างเลือนราง
ก็ชัดเจนมาขึ้นเมื่อครูเผได้เป็น “เจ้าโผ” หรือหัวหน้าคณะลิเก “คลองขลุงบำรุงศิลป์” และมาปักหลักตั้งฐานอยู่ที่อำเภอคลองขลุง เปิดบ้านรับเด็กเข้ามากินอยู่ หัดลิเกไปพร้อมๆ กับเรียนรู้การใช้ชีวิต เป็นการดึงเด็กที่ด้อยโอกาส มีปัญหาทางกายภาพ หรือประสบปัญหาชีวิต ให้เข้ามาอยู่ในสายตาพร้อมทั้งหยิบยื่นโอกาสให้แก่เด็กเหล่านั้นเหมือนกับที่ตนเองเคยได้รับมา
“จากความด้อยโอกาสที่เคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อนจึงอยากจะช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ จากเด็กด้อยมาเป็นเด็กได้ และจากเด็กได้ เป็นเด็กที่รู้จักให้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ครูต้องการให้เด็กได้ และเด็กก็ได้จริงๆ นั่นคือ จากเด็กที่ไม่เคยคิดอะไรได้ทำอะไรได้ กลายมาเป็นเด็กที่กล้าคิดกล้าทำ กล้าแสดงออกและกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ต่อหน้าชุมชนหรือต่อหน้าบุคคลหลายๆ คน เขาก็อาจเป็นผู้นำในวันข้างหน้าได้”
ครูเผตอบคำถามของเหตุผลในการทำงานกับเด็กมาตลอดชีวิต โดยที่เด็กเหล่านี้ก็เสมือนคนในครอบครัวของครูเป็นเสมือนบทวิเคราะห์ตนเองได้เด่นชัดว่า “ปัจจัยแห่งความสำเร็จของครูเผก็คือ การให้โอกาสแก่เด็กทั้งทางตรงและทางอ้อม” โดยให้โอกาสทั้งรายได้ ที่อยู่ที่กิน ที่สำคัญคือโอกาสทางการศึกษา รวมถึงสอนแนวทางการดำเนินชีวิต มิใช่สอนเพียงแต่จะให้ร้องรำเล่นลิเกเพื่อเป็นอาชีพเท่านั้น
ในการใช้ชีวิตอยู่แบบครอบครัว ครูเผได้นำกระบวนการเรียนการสอนแบบพี่สอนน้องเข้ามาใช้ในการสอนศิลปะการแสดง นอกจากนั้นยังสอดแทรกความรู้ต่างๆ ทางประเพณีวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตในสังคมไปด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ นำคณะนักแสดงออกไปช่วยงานในชุมชน ตั้งแต่งานบวชงานบุญ หรือแม้กระทั่งการสอนให้เด็กช่วยกันทำขนมไทยออกขายในช่วงเวลาที่ขาดรายได้ไม่มีงานเข้ามา
“แรกๆ พ่อแม่ผู้ปกครองไม่เห็นด้วยที่เด็กๆ มารวมตัวกันที่โรงลิเก หาว่าเป็นแหล่งมั่วสุม แต่หลังจากเวลาผ่านไป ครูเผก็แสดงให้เห็นว่า ครูมีความตั้งใจจริงที่จะทำให้เด็กๆ มีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางดีจนเป็นที่ยอมรับในหมู่บ้าน” สิบเอกธนาทิพย์ มิ่งเมือง ลูกศิษย์รุ่นแรกๆ เล่าถึงความหลัง
“หนูอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ประมาณสามสิบคน มีพ่อคือครูเผคนเดียว ครูเผเหนื่อยกับพวกเรามาก ทั้งที่สอนเราก็ไม่ได้สตางค์เลย พอทุกคนสามารถแสดงลิเกได้ ก็แบ่งปันรายได้ให้ไปดูแลครอบครัวของแต่ละคน เหลือนิดหน่อยก็เอาไว้ซื้อกับข้าวกินกัน มีคนมาบอกว่าครูเผเอาเด็กบังหน้าหากิน จริงๆ เด็กๆ ต่างหากที่อาศัยครูเผหากิน หนูสงสารครูมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะขออยู่กับครูเผ ช่วยครูเผตลอดไป” วาสนา เรืองทิพ ลูกศิษย์ครูเผที่ดูแลเครื่องแต่งกายคณะลิเกช่วยสะท้อนภาพครูเผให้ชัดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ครูเผก็มีความชัดเจนที่สุดในเรื่องภารกิจหลักของเด็กในบ้านนั่นก็คือ “การศึกษา” ในวันที่ลูกศิษย์ในบ้านท้อกับคำเย้ยหยันที่ว่า ลิเกคณะของครูเผเป็นลิเกไม่มีคุณภาพ บนหน้าเฟซบุ๊คของครูเผ ก็ปรากฏข้อความพร้อมแท็กบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายว่า
“พวกเธอจำได้ไหมว่าครูบอกว่า...สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เธอจะต้องทำตอนนี้ก็คือการเรียนเป็นหลัก ส่วนการแสดงลิเกเป็นรอง...เราจะเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นไม่ได้เพราะเราไม่มีสายเลือดลิเก เพียงแต่เราได้มีโอกาสช่วยสืบสานก็ดีแล้วสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสอย่างพวกเรา ไม่ต้องท้อนะครับ ถึงแม้ว่าการแสดงลิเกจะไม่มีคุณภาพเหมือนกับลิเกดังๆ แต่สิ่งสำคัญที่เรามีก็คือคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนบางคนที่ใช้เวลาไปแบบไม่มีประโยชน์ คนที่ว่าเราชีวิตเขามีคุณภาพเท่ากับพวกเราหรือไม่ก็ไม่รู้ สู้กันต่อไป”ดีชั่วอยู่ที่ีตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่เราทำตัว...ไม่ต้องกลัวนะลูก”
รางวัลที่ได้รับจากหน่วยงานต่างๆ แม้จะเป็นความภาคภูมิใจ แต่คงไม่เท่ากับความภูมิใจที่เห็นศิษย์ของตนรุ่นแล้วรุ่นเล่าก้าวหน้าไปในสาขาวิชาชีพต่างๆ อย่างเป็นคนดี ซึ่งทำให้ครูเผหายเหนื่อยกับการขวนขวายที่จะช่วยกันหารายได้มาจุนเจือบ้านครอบครัวผู้สืบทอดศิลปะพื้นบ้าน “บ้านแห่งการเรียนรู้” บ้านที่มีครูเผเป็นพ่อดูแลลูกๆ ทุกคนเปรียบเสมือนคนครอบครัวเดียวกัน
“ฝากถึงทุกคนที่มีหัวใจเดียวกันกับครู คืออยากช่วยเหลือเด็ก อยากจะทำกิจกรรมในส่วนที่เสียสละ เป็นการอุทิศให้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานแบบนี้ ก็คือการให้ ให้แล้วอย่าหวังผลอะไรทั้งสิ้น ให้ทุกอย่าง ให้ชีวิต ให้เงิน ให้ทอง ให้ความรู้ ให้ทุกอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดอย่าลืม การให้อภัย การให้อภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”
และนี่คือคำทิ้งท้ายถึงผู้ร่วมอุดมการณ์ของ “ครูเผ” นายสะเทื้อน
นาคเมือง ตลกลิเกผู้อุทิศตนให้แก่การช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี