วิกฤติภัยแล้งปีนี้ ทำให้รู้ว่า บรรพบุรุษของเราที่คิดการไกลเผื่อลูกเผื่อหลาน ให้มีน้ำกินน้ำใช้ตราบจนถึงทุกวันนี้
ความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำเจ้าพระยา จนได้ขึ้นชื่อว่า “เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ” ของประเทศไทย เป็นแหล่งผลิตข้าวหล่อเลี้ยงคนไทยมาช้านาน และยังสามารถส่งออกสร้างรายได้เข้าประเทศคิดเป็นมูลค่ามหาศาลเป็นเพราะเรามี 2 เขื่อนใหญ่ที่บรรพบุรุษ คนรุ่นปู่ รุ่นทวดได้สร้างขึ้นมา นั่นก็คือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์
เขื่อนภูมิพล เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกในประเทศไทย ก่อสร้างขึ้นมาเมื่อปี 2496 ปิดกั้นลำน้ำปิง ที่บริเวณเขาแก้ว อำเภอสามเงา จังหวัดตาก แล้วเสร็จทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 เขื่อนนี้เดิมชื่อ เขื่อนยันฮี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระปรมาภิไธยให้เป็นชื่อเขื่อนว่า เขื่อนภูมิพล เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2500 สามารถเก็บกักน้ำได้สูงสุด 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร และถือเป็นเขื่อนโค้งที่สูงเป็นอันดับ 27 ของโลก โดยมีรัศมีความโค้ง 250 เมตรสูง 154 เมตร ยาว 486 เมตร ความกว้างของสันเขื่อน 6 เมตร
เขื่อนสิริกิติ์ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 2506 ตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำน่าน ปิดกั้นแม่น้ำน่าน ณ บริเวณเขาผาซ่อม ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วเสร็จในปี 2515 เดิมชื่อ “เขื่อนผาซ่อม” ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ขนานนามว่า “เขื่อนสิริกิติ์” เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2511 สามารถกักเก็บน้ำได้สูงสุด 9,510 ล้านลูกบาศก์เมตร ถือเป็นเขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สันเขื่อนสูง 133.60 เมตร ยาว 810 เมตร กว้าง 12 เมตร
หากเปรียบเทียบปริมาณน้ำที่เขื่อนทั้ง 2 แห่งเก็บกักได้คือ 22,972 ล้านลูกบาศก์เมตร กับจำนวนประชากรและความต้องการใช้น้ำในสมัยนั้นแล้ว ถือว่า สร้างเกินกว่าความต้องการมาก แต่คนในสมัยนั้นก็ยินดีที่จะให้สร้างขึ้นมา เพราะมองเห็นประโยชน์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับลูกหลาน และประเทศชาติ
ประชากรของประเทศไทยเมื่อปี 2508 มีประมาณ 30 ล้านคน เป็นประชากรในพื้นที่ 22 จังหวัดลุ่มเจ้าพระยา คือ ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสาคร ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา นครนายก ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ประมาณ 9 ล้านคน
หลังจากนั้นเป็นต้นมาประเทศชาติก็เจริญเติบโต ลุ่มเจ้าพระยาอุดมสมบูรณ์ มีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน จำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีมากกว่า 65 ล้านคน คิดเป็นประชากรในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาทั้ง 22 จังหวัดประมาณ 20 ล้านคน ไม่รวมประชากรแฝง และนักท่องเที่ยวอีกไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน ทำให้การใช้น้ำทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร อุตสาหกรรม และอื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีการใช้เทคโนโลยีและระบบชลประทานที่สมบูรณ์ช่วยในการทำนามากขึ้นสามารถทำนาได้ปีละถึง 3 ครั้ง จากเดิมที่ทำได้แค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น
แต่ความอุดมสมบูรณ์ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ใกล้จะสิ้นสุดลงเพราะ 50 ปีที่ผ่านมา หลังจากการสร้างเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ แล้วเสร็จลุ่มน้ำเจ้าพระยามีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่เพิ่มเติมขึ้นมาน้อยมาก ไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้
ระยะเวลา 50 ปีที่ลุ่มเจ้าพระยามีน้ำกินน้ำใช้อย่างพอเพียง เพราะใช้น้ำจากเขื่อนที่บรรพบุรุษสร้างไว้ทั้งสิ้น จะพูดว่า “ใช้บุญเก่า” คงไม่ผิด หากไม่ทำบุญใหม่เพิ่มเติม ไม่ช้าบุญที่มีอยู่ก็จะหมดไป ซึ่งจริงๆ แล้วบุญเก่าที่คนรุ่นปู่ รุ่นทวด สร้างขึ้นมานั้นน่าจะหมดไปนานแล้ว แต่ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชดำริให้ก่อสร้างเขื่อนอีก 2 แห่งคือ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยงลุ่มเจ้าพระยาได้อีกระยะหนึ่ง
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ให้กรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมของโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสัก อย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อประโยชน์ต่อพื้นที่เพาะปลูกและบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นประจำในลุ่มน้ำป่าสัก ต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินการก่อสร้าง ใช้เวลา5 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2537-2542 โดยสร้างกั้นแม่น้ำป่าสักที่ บ้านหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี เป็นเขื่อนดินที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวประมาณ 4,860 เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 960 ล้านลูกบาศก์เมตร
เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชทานพระราชดำริ ครั้งเมื่อเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเขื่อนนเรศวร วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2525 ว่า...ควรพิจารณาวางโครงการและก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำแควน้อย ในเขตอำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก โดยเร่งด่วน... หลังจากนั้นได้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง วันที่ 24 มกราคม 2546 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการเขื่อนแควน้อย กั้นแม่น้ำแควน้อย สาขาของแม่น้ำน่าน หมู่ 4 บ้านเขาหินลาด ตำบลคันโช้ง อำเภอ วัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2554 สามารถกักเก็บน้ำได้สูงสุด 769 ล้านลูกบาศก์เมตร
อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำที่ได้เพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 1,700 ล้านลูกบาศก์เมตร จากเขื่อนทั้ง 2 แห่งดังกล่าวแม้จะมีปริมาณไม่มากเมื่อเทียบเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ แต่ก็สร้างความอุดมสมบูรณ์ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก และแควน้อย รวมทั้งต่อลมหายใจของประชาชนในลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้อีกระยะหนึ่ง จนถึงวันนี้
วันที่ถึงจุดวิกฤติกำลังจะมาเยือนลุ่มเจ้าพระยา และจะวิกฤติมากขึ้นในรุ่นลูก รุ่นหลาน หากไม่เริ่มต้นแก้ปัญหาในวันนี้
การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้สอดคล้องกับความต้องการ เป็นเรื่องที่จะต้องเร่งดำเนินการ ควบคู่ไปกับการทวงคืนพื้นที่ป่าเพื่อปลูกป่าเพิ่มขึ้น ในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาแหล่งน้ำก็ควรจะเร่งดำเนินการ เพราะการแก้ไขปัญหาให้ได้ทั้งลุ่มน้ำนั้นจำเป็นจะต้องใช้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อน หรือ อ่างเก็บน้ำ อาจจะต้องสูญเสียพื้นที่ป่าไปบ้าง แต่ถ้าเปรียบเทียบพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกทำลายแล้ว ถือว่าน้อยมากๆ
ส่วนการสร้างแก้มลิงนั้น ก็ต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วย แต่ก็จะสามารถช่วยเหลือได้ในพื้นที่ที่จำกัด เนื่องจากปริมาณน้ำที่เก็บกักไว้ได้ในแก้มลิงนั้น จะเก็บได้ไม่มากนักบางแห่งไม่ถึง 1 ล้านลูกบาศก์เมตรด้วยซ้ำ ต่างจากเขื่อน หรือ อ่างฯขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บกักน้ำได้หลายร้อยล้านหรือพันล้านลูกบาศก์เมตรก็มี
อาจจะมีคนแย้งว่า มีเขื่อนก็ไม่ช่วยอะไร น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เป็นน้ำที่ปล่อยมาจากเขื่อนไม่ใช่หรือ? หรือไม่ปีนี้ฝนแล้ง เขื่อนก็ไม่มีน้ำอยู่ดี?
คำถามนี้หากไม่คิดอะไรเลยอาจจะคล้อยตามได้ แต่ถ้าหากไม่มีเขื่อนทั้ง 4 เขื่อนใหญ่ในลุ่มเจ้าพระยาอะไรจะเกิดขึ้น!!!
เขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มเจ้าพระยามีปริมาณกักเก็บรวมกันประมาณ 24,700 ล้านลูกบาศก์เมตร ก่อนเข้าสู่ฤดูฝนปี 2554 เขื่อนมีน้ำอยู่ประมาณร้อยละ 50 ของปริมาณการกักเก็บ หรือประมาณ 12,350 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนตกหนักจนเต็มเขื่อน นั่นก็หมายความว่า ถ้าไม่มีเขื่อน นอกจากปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่แล้ว ยังจะมีปริมาณน้ำเหนืออีกไม่น้อยกว่า 12,350 ล้านลูกบาศก์เมตร ไหลบ่าลงมาท่วมพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งไม่อยากจะคิดว่ารุนแรงแค่ไหน แต่ที่แน่ๆกรุงเทพฯเป็นเมืองใต้บาดาลแน่นอน ความเสียหายจะทวีคูณไม่รู้กี่เท่าตัว
ส่วนน้ำที่เขื่อนปล่อยออกมานั้น เป็นปริมาณน้ำที่ล้นเขื่อน ซึ่งหากไม่มีเขื่อนปริมาณน้ำส่วนนี้ก็ต้องไหลลงมาอยู่แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี