ถ้าจะเปรียบการเป็น “ครู” เหมือนกับอาชีพแจว “เรือจ้าง” แล้ว อาจจะมีครูที่ทำหน้าที่ส่งศิษย์ถึงฝั่งมาแล้วเป็นจำนวนไม่น้อย หากแต่จะมีครูทุ่มเทอุทิศทั้งชีวิต เสียสละทั้งแรงกายแรงใจ และทุนทรัพย์เพื่อเด็กและเยาวชนให้ได้มีอนาคตที่สดใสอย่างเต็มความสามารถนั้น...
ความมุ่งมั่นในการสร้างคนของ “ครูแสวง” เกิดขึ้นจาก “โอกาส”เมื่อครั้งที่ครูแสวงยังเป็นเพียงลูกชาวนาตัวเล็กๆ เมื่อเรียนจบ ป.4ก็อยากเรียนต่อ จนพ่อต้องนำไปฝากไว้กับ หลวงพ่อบุศย์ (บุศย์ ปภสฺสโร) เป็นลูกศิษย์วัดกุฎีขาว จนได้เรียนต่อสมกับที่ตั้งใจ โดยมีเป้าหมายที่จะก้าวสู่ความเป็น “ครู” ให้จงได้ ด้วยปณิธานอันแรงกล้าหลังจากที่จบชั้น ม.6 ก็ได้รับทุนไปเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จนได้เป็น ครู ป.ป.(ประกาศนียบัตรประโยคครูประถม) รุ่นสุดท้าย และไปเป็นครูประจำชั้น ม.1 ที่โรงเรียนปริยัติรังสรรค์ จ.เพชรบุรี
“มันเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกเลยว่า อยากจะให้โอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กที่ด้อยโอกาสอย่างที่เราเคยได้รับมาแล้ว พอเรียนจบ ป.ป.ใหม่ๆ แล้วได้ไปเป็นครูเงินเดือน 750 บาท จึงดีใจมาก เพราะจะมีเงินช่วยการศึกษาของน้องๆ หลานๆ ได้บ้างแล้ว” ครูแสวงเล่าความหลัง
ด้วยความมุ่งมั่นในวิชาชีพครูจึงได้ไปสอบเรียนต่อ กศ.บ.(การศึกษาบัณฑิต) ที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร ได้รับทุน
ของกรมการฝึกหัดครูจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี แล้วกลับมาสอนที่โรงเรียนปริยัติรังสรรค์จนได้เป็นครูใหญ่ หลังจากนั้นก็ย้ายไปสอนและพัฒนาโรงเรียนหลายๆ แห่ง บุกเบิกก่อร่างสร้างโรงเรียนชะอำคุณหญิงเนื่องบุรีจากพื้นที่ว่างเปล่า เป็นครูที่โรงเรียนพรหมานุสรณ์ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนท่ายางวิทยา และกลับไปที่โรงเรียนพรหมมาณุสรณ์อีกครั้ง ก่อนจะไปย้ายไปประจำที่โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ และเป็นผู้บริหารการศึกษาและผู้ตรวจราชการด้านการศึกษาจนเกษียณอายุราชการ
“แต่ละโรงเรียนมีความต้องการไม่เหมือนกัน ที่ชะอำ ขาดทุกอย่างต้องเป็นทั้งภารโรง ทั้งครูที่สอนทุกวิชา ต้องบูรณาการสอนคือ เน้นการให้นักเรียนมีส่วนร่วม ที่ท่ายาง ผมอยากให้โรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ดังนั้นแทนที่ครูจะสอนแค่นักเรียน เราก็จะทำหลักสูตรทั้งเย็บผ้า ทำอาหาร ทำขนม การเกษตรเพื่อสร้างให้คนมีวิชาชีพ ทำให้ชุมชนใกล้ชิดโรงเรียน ลูกหลานก็ไม่กล้าหนีเรียน ไม่กล้าประพฤติตัวนอกระเบียบ การเรียนก็ดีขึ้น”
การบริหารจัดการจนประสบความสำเร็จของ “ครูแสวง” นั้น ไม่ได้อยู่ที่การขวนขวายหาความรู้ทั้งในและต่างประเทศ หรือการเข้าร่วมอบรมสัมมนาอยู่เสมอเพียงเท่านั้น แต่หัวใจหลักที่สำคัญคือ “การนำความรู้ที่ได้รับมาคิด วิเคราะห์ พัฒนาวิธีการบริหารให้ทุกฝ่ายเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเกิดประสิทธิผลสูงสุด”
“โรงเรียนที่ผมบริหาร จะกำหนดนโยบายเลยว่า ต้องทำให้นักเรียนทุกคนเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครู เป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ ซึ่งการจะทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เราจึงต้องหาวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจไปในทางเดียวกัน ผมจะใช้วิธี ฉันได้ยิน ฉันก็ลืม ฉันได้เห็น ฉันจำได้ ฉันได้ลงมือปฏิบัติ ฉันเข้าใจ เน้นให้ครูและนักเรียนมีส่วนร่วมปฏิบัติ ช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหามุ่งสู่ความสำเร็จร่วมกัน”
ส่วนเรื่องการสอน การอบรมหรือการทำโทษเด็กนักเรียนนั้น “ครูแสวง” แม้จะเป็นคนที่เข้มงวด แต่ก็เข้าใจในหลักจิตวิทยา ทุกครั้งที่มีการทำโทษจะต้องชี้แจงพูดด้วยเหตุด้วยผลจนเด็กยอมรับ จึงจะทำโทษ ด้วยวิธีการนี้เด็กจึงไม่โกรธครู สิ่งสำคัญคือครูต้องคำนึงถึงความแตกต่างความรู้พื้นฐาน และความเป็นอยู่ของเด็กแต่ละคน“ใช้หลักจิตวิทยาให้มาก รู้จักแพ้ รู้จักโง่ ในบางโอกาสเพื่อประคับประคองให้นักเรียนเป็นคนดี เนื่องเพราะสังคมปัจจุบันทำให้จิตใจของนักเรียนเปราะบางมาก”ครูแสวงให้คำแนะนำ
นอกจากความมุ่งมั่นในการสร้างคนดีแล้ว“ครูแสวง” ยังนำ “หลักธรรมะ” มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตให้
ทุกคนเป็นคนดี รู้จักคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาได้ โดยใช้หลัก“ฆราวาสธรรม 4” มาเป็นหลักในการครองตน ใช้ “สังคหะวัตถุ 4”มาเป็นหลักในการครองคนเพื่ออยู่ในสังคมอย่างมีความสุขและเป็นที่รักของทุกคน และใช้ “ทิศ 6” ในบทบาทความเป็นครู เพื่อดูแลให้ความรักเอาใจใส่และให้กำลังใจ ศิษย์เองต้องยึดหลัก “สุ จิ ปุ ลิ” ซึ่งส่งผลให้การเปลี่ยนของลูกศิษย์เป็นไปในทางที่ดี ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ที่สำคัญต้องมี “คุณธรรมพื้นฐาน 7 ประการ” คือ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ กตัญญู มีวินัย มีความรับผิดชอบ และ พึ่งตนเอง
นางจำลอง เทพพานิช อดีตศิษย์เก่าจากโรงเรียนปริยัติรังสรรค์ เจ้าของธุรกิจบ้านจัดสรรและอสังหาริมทรัพย์ เล่าว่า ครูแสวงสอนให้มีคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์ และให้คาถา “หนึ่งต้อง สองอย่า” มาให้เป็นหลักดำเนินชีวิต “หนึ่งต้อง คือ ต้องทำหน้าที่ที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด ส่วน อย่า ที่หนึ่ง คือ อย่าเล็งผลเลิศ เมื่อทำงานเต็มที่แล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรต้องพอใจและยอมรับ อย่า ที่สอง คือ อย่าท้อถอย หาไม่ท้อทุกอย่างต้องสำเร็จแน่นอน ด้วยหลักที่ครูให้มา ทำให้ดิฉันสามารถพลิกฟื้นชีวิต และธุรกิจจนมีฐานะมั่นคงได้”
แม้จะก้าวล่วงถึงวัยเกษียณอายุราชการแล้วก็ตาม ในความเป็นครูของ “ครูแสวง” ก็ไม่เคยหยุดนิ่ง “ครูแสวง” ร่วมก่อตั้ง มูลนิธิพระเทพสุวรรณมุนี (สีลภูสิต ภิกขุ บุญรวม มีอารีย์) เพื่อให้การศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และสนับสนุนงานของสถานศึกษาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนห่างไกลอบายมุข
นอกจากนั้นแล้วจากโอกาสที่ไปร่วมประชุมและได้พบกับดร.ประหยัด ภูหนองโอง บัณฑิตตาบอด ผู้ก่อตั้ง มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทำให้ “ครูแสวง”เกิดแรงบันดาลใจที่จะเดินตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในการให้โอกาสผู้พิการทางสายตาสามารถได้รับการศึกษาโดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ จึงมอบที่ดิน 8 ไร่ เพื่อสร้าง โรงเรียนธรรมิกวิทยา ขึ้นให้เป็นโรงเรียนประจำเพื่อการศึกษาของคนตาบอดโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
“ผมเคยเป็นผู้ด้อยโอกาสมาก่อน ผมจึงอยากให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาส และเห็นว่า คนตาบอดก็คือ คนปกติที่แค่ตามองไม่เห็นเท่านั้น เมื่อเขาได้รับการศึกษา การศึกษาจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาได้ อันดับแรกช่วยตัวเองให้ได้ ไม่เป็นภาระของใคร ต่อไปก็ช่วยครอบครัว ช่วยสังคม และประเทศชาติได้ ถึงวันนี้เราจะเหนื่อย แต่เมื่อเราเห็นโครงการประสบความสำเร็จ ความเหนื่อยนั้นก็หายไป”
ปัจจุบัน “ครูแสวง” แม้จะอายุล่วงเข้า 79 ปีแล้ว ก็ยังอุทิศเวลาสติปัญญา กำลังกาย และกำลังทรัพย์ ให้กับงานพัฒนาชุมชนและสังคมในทุกด้าน ทั้งของหน่วยงานของรัฐและเอกชนโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ส่งผลให้ได้รับรางวัลจากองค์กรหน่วยงานต่างๆ มากมาย และได้รับการเสนอชื่อครูผู้สมควรได้รับพระราชทาน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” และผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลในระดับ “ครูยิ่งคุณ”ประจำปี 2558 ของ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และ กระทรวงศึกษาธิการ
“ผมตั้งใจอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อการศึกษาของเด็กด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษาที่ดี เมื่อมีโอกาสเด็กเหล่านี้จะมีความหวัง มีความสำเร็จถ้าทุกคนพร้อมจะเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สังคม ประเทศชาติก็จะก้าวหน้าและมีความสุข” ครูแสวงกล่าวถึงความตั้งใจ
สำหรับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี นับเป็นรางวัลระดับนานาชาติเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระปรีชาด้านการศึกษา โดยสมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชานุญาตตั้งนาม“รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี”เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติครูผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์สร้างคุณประโยชน์ต่อการศึกษาในประเทศต่างๆ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวม 11 ประเทศ ประเทศละ 1 รางวัล โดยจัดมอบรางวัลในทุก 2 ปี ซึ่งจะพระราชทานรางวัลครั้งแรกในวันที่ 2 ตุลาคม 2558
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี