28 ส.ค.58 ภาพสะท้อนปัญหาสังคมเพียงปลายนิ้วคลิ๊กในโลกอินเตอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน ทั้งการล่อลวงผ่านโปรแกรม Chat ค่านิยมเรื่องผิวขาว ตาบ๊องแบ๊ว ตามแบบฉบับของ net idol จนนำไปสู่การทำศัลยกรรมแบบผิดวิธี รวมไปถึงการเชื้อเชิญให้ทำตามในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ ยาเสพติด และการพนัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า เด็กและเยาวชนได้ตกเป็น "เหยื่อ" ปัญหาสังคมเหล่านี้มากที่สุด และนับวันจะพบปัญหานี้แบบเท่าทวี
จึงเกิดเป็นคำถามว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราต้องรู้เท่าทันสื่อออนไลน์เหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เด็กและเยาวชนของเรา ตกเป็นเหยื่อ หรือพลาดพลั้งอยู่ในหลุมดำที่ว่านี้ เพียงเพราะมีการเข้าถึงได้โดยง่าย โดยไร้ซึ่งการกำกับและควบคุมดูแล อย่างจริงจัง โดยเฉพาะผู้ปกครองของเด็ก ตลอดจนผู้ประกอบการ และผู้มีอำนาจในรัฐบาล
ล่าสุด ในวงเสวนา "การป้องกันเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อเด็กและเยาวชน บนโลกอินเตอร์เน็ต บทบาทหน้าที่ใคร?" จัดโดย ศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เมื่อเร็วๆ นี้ มีนักวิชาการด้านสื่อสาธารณะ นักวิชาการด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร นักวิชาการด้านเด็กและเยาวชน และเครือข่ายครอบครัว มาร่วมเสวนาเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้
ธาม เชื้อสถาปนาศิริ นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ ระบุว่า สื่อใหม่หรือโลกออนไลน์ ทำให้เกิดโรคใหม่ๆ ขึ้นกับเด็กและเยาวชน เช่น โรค Selfie หรือพฤติกรรมเสพติดการถ่ายรูปตนเองในอิริยาบถต่างๆ แล้วไปอวดกันบนสังคมออนไลน์ รวมไปถึงการเกิดภาวะซึมเศร้า หมายถึง เมื่อโพสต์ข้อความหรือรูปแล้ว หากไม่มีใครมา กด Like ให้ ก็จะรู้สึกวิตกกังวล หรือประเภทที่ต้องเช็คอินทุกครั้งเมื่อทำกิจกรรมที่ไหน ตรงนี้อาจกลายเป็นโทษแบบไม่รู้ตัว เพราะอาจเป็นการเชื้อเชิญเหล่าบรรดาเหล่ามิจฉาชีพมาก่ออาชญากรรมได้
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันมา คือ โรคเสพติดมือถือ - อินเตอร์เน็ต เพราะสื่ออินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่มีการไหลของข้อมูลข่าวสารได้ไวมาก หากไม่ได้ใช้หรือติดตามก็กลัวว่าจะตกข่าว ตามกระแสไม่ทัน คุยกับผู้อื่นไม่รู้เรื่อง นำมาสู่ความสนใจกับโทรศัพท์มือถือมากกว่าคนรอบข้าง
"การใช้อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับเด็กควรเริ่มต้นที่พ่อแม่ อย่างในต่างประเทศ ที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก คือกรณีคุณแม่มีลูกชายวัย 14 ปี ซึ่งลูกชายอยากได้โทรศัพท์มือถือมาก ซึ่งคุณแม่ก็ซื้อให้แต่มีข้อแม้ว่า ต้องทำ MOU หรือข้อตกลงร่วมกันว่า ถ้าแม่ซื้อโทรศัพท์ให้ แม่ต้องควบคุมการใช้ ข้อแรก ลูกต้องใช้มือถืออย่างสุภาพ ห้ามถ่ายภาพลากมก ห้ามพิมพ์แชทไปด่าผู้อื่น และลูกจะไม่อยู่กับโทรศัพท์ทั้งวัน โดยเฉพาะช่วงกลางคืน โดยนำส่งคืนและเก็บไว้ที่แม่ และจะคืนให้ตอนเช้า ตรงนี้ถือว่าไม่ปิดกั้น แต่เป็นการรู้จักใช้ และรู้เท่าทันของผู้เป็นแม่"
นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ ยังระบุด้วยว่า นอกจากพ่อแม่ผู้ปกครองต้องรู้เท่าทันในส่วนนี้แล้ว ตามโรงเรียนต่างๆ ก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย อย่างในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น เขาสั่งห้ามให้นักเรียนนำมือถือเข้าห้องเรียน เพราะเขาเล็งเห็นผลกระทบที่ว่านี้ ไม่เท่านั้น ในส่วนของผู้ประกอบการ เกี่ยวกับการทำเว็ปเพจต่างๆ ก็ควรมีการจำกัดอายุของเด็ก ยกตัวอย่างเช่น กำหนดให้เด็กอายุตำกว่า 12 ปี ห้ามเล่นเว็ปนี้ หรือถ้าอายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถเข้าไปเล่นแชทในเว็ปพันทิป ได้เป็นต้น
อัญญาอร พานิชพึ่งรัถ นักวิชาการเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ ได้เสนอมุมมองที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยระบุว่า การโฆษณาในยุคปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย เพราะปัจจุบันแฝงไปด้วย ทุนนิยม บริโภคนิยม โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงที่มีค่านิยม ขาวผอม ยกตัวอย่างมี net idol คนหนึ่ง มีการสอนทำสวยในเว็ปไซต์ ทำผิวอย่างไรให้ขาวสวย ทำจมูกอย่างไรให้สวย เมื่อเด็กไปดูก็อยากสวยตาม ก็เลยต้องตามไปซื้อของใช้ทำสวยตามที่ net idol ระบุถึง จนบางครั้งนำไปสู่การทำศัลยกรรม อยากขาว แบบผิดวิธีไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จนถึงขั้นเสียชีวิตก็มี
นักวิชาการเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ ยังระบุด้วยว่า ในโลกอินเตอร์เน็ต หากจะมีการเสริซหา ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเพศ รูปภาพ ทุกวันนี้สามารถเสริซหาได้ง่าย โดยเฉพาะภาพโป๊ะเปลือย หรือแฝงในรูปของการ์ตูนเป็นต้น แต่ในส่วนของรูปโป๊ะเปลือย จากผลวิจัยพบว่า ยังไม่อันตรายเท่าเนื้อหาที่ใส่ลงไป ยกตัวอย่างกรณี มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง มาเล่าว่ามีเพศสัมพันธ์กับน้าสะใภ้ ในโพสต์ข้อความของตัวเอง แม้ไม่มีภาพ แต่ก็เขียนพรรณาเชื้อเชิญให้คนอื่นทดลองทำ ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นเร้าให้เด็กมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น
ไม่เท่านั้นในบางโพสต์ข้อมูล ยังพบเรื่องราวเกี่ยวกับยาเสพติด ทั้งภาพถ่ายประกอบด้วยเนื้อหา อาทิ วิธีการเสพต่างๆ แสดงวิธีสาธิตชัดเจน รวมไปถึงวิธีการซ่อนสารเสพติดต่างๆในร่างกายโดยไม่ให้พ่อแม่จับได้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สะท้อน การเข้าถึงได้ง่ายของเด็กและเยาวชน ในโลกอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างดี
"วิธีการป้องกันการยับยั้งนอกจากพ่อแม่ ต้องเรียนรู้ตามให้ทันเทคโนโลยีแล้ว ถ้าเป็นไปได้ อยากเสนอให้มีการจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานเฉพาะมาดูแลตรงนี้ หรือสถานศึกษาคอยให้ความรู้ควบคู่กันไป หรือจะเพิ่มเป็นสายด่วนในการแจ้งรับข้อร้องเรียน ต่างๆ หรือสนับสนุนให้ตามโรงเรียนต่างๆ มีการควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตในเด็ก โดยมีมาตรการจูงใจ เช่น การลดค่าน้ำค่าไฟ การลดหย่อนภาษี เป็นต้น ขณะที่สื่อมวลชนเอง ก็ควรปรับทัศนคติ เกี่ยวกับการนำเสนอ ทั้งภาพที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิด ภาพตัวอย่างที่ไม่ดีของดาราบางคน ที่เมื่อเด็กเห็นแล้วอาจนำไปเป็นแบบอย่างได้"
ส่วนมุมมองของ จิรศิลป์ จยาวรรณ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี ระบุว่า กรณีการบล็อกเว็ปไซต์ต่างๆ ในเชิงเทคนิคอาจจะทำการบล็อกได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสมดุล เพราะสิ่งที่ดีมีประโยชน์ก็มี ซึ่งในต่างประเทศเอง ยังหาจุดเหมาะสมนี้ไม่เจอว่าควรสกรีนสิ่งเหล่านี้อย่างไร
ปัจจุบันในประเทศไทยจะเห็นว่า ในหลายหน่วยงานมีความพยายามที่จะบล็อกเว็ปไซต์ที่ไม่เหมาะสมออกไป รวมทั้งการขึ้นแบล็คลิสต์ให้เห็น แต่ปัญหาคือไม่มีการอัพเดต ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีหน่วยงานกลางที่ตั้งขึ้นมาใหม่เข้ามาควบคุมเป็นการเฉพาะก็จะดีมาก กรณีของแบล็กลิสต์ เมื่อมีขึ้น ก็ควรมี ไวท์ลิสต์ควบคู่กันไปด้วย เช่น เว็ปไซต์ไหนดีเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ หรือชวนกันไปทำความดี ก็ควรขึ้นเป็น ไวท์ลิสต์ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กได้ทำความดี เข้าไปดู เข้าไปเล่น เป็นต้น
เมื่อมาดูในส่วนของการพนันผ่านสื่อออนไลน์ในปัจจุบัน ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ต้องวิตกกังวลเช่นกัน เพราะมีการเข้าถึงได้โดยง่าย โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ที่มาในรูปแบบของการพนันฟุตบอล และคาสิโน เป็นต้น โดย สุระชัย ชูผกา ผู้ศึกษาเรื่องมายาคติในการสื่อสารออนไลน์ของเว็ปไซต์การพนัน ระบุว่า การพนันออนไลน์ มักมาในรูปแบบของเกมส์ ที่ดูน่าสนุก น่าสนใจ โดยผ่าน แสงสีเสียง ตัววิ่ง ในการนำเสนอ สร้างภาพลวงตา ว่าการเล่นนั้นน่าเชื่อถือ สร้างความรู้สึกว่าง่ายและมีเสรีเลือกได้ ใครๆ ก็เล่นได้
นอกจากนี้ การเสนอโอกาสให้ทดลองเล่นการพนันทางผ่านเว็ปไซต์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวางเงินเดิมพันของบริษัทรับแทงพนันออนไลน์ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่กระตุ้นให้ผู้เล่นพนัน มีความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะการเดิมพันจริงในครั้งต่อไป
จากผลการศึกษา พบว่า การติดพนันชนิดนี้ จะมากกว่าการพนันประเภท อื่นๆ เช่น ความสะดวกในการเข้าถึง ที่จะเล่นที่ไหนก็ได้ ที่สำคัญมีพื้นที่ความเป็นส่วนตัว ที่ผู้เล่นรู้สึกผ่อนคลายขณะเล่น ซึ่งปัจจัยนี้ เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความถี่ในการเล่นการพนันให้มากขึ้นนั่นเอง และปัญหาที่ตามมาคือ การเกิดสะสมหนี้พนันค่อนข้างที่จะรวดเร็ว เนื่องจากการเล่นพนันออนไลน์ ผู้เล่นไม่ได้สัมผัสเงินสดในการเล่น ทำให้ไม่ได้ตระหนักถึงเงินที่เสียไป
จากปัญหาที่เกิดขึ้น ทางภาคประชาชน นักวิชาการ ได้เสนอความเห็นต่อการแก้ปัญหาที่น่าสนใจ โดย พงศ์ธร จันทรัศมี ศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เสนอแนะว่า สิ่งแรก ต้องแก้ไขปรับปรุงกฏหมายเกี่ยวกับการพนัน ได้แก่ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 พ.ร.บ.ปปง.พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.ความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันจะเห็นว่ามีเยาวชนหันมาเล่นการพนันออนไลน์มากขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยต้องระบุถึง การป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันอย่างชัดเจน รวมทั้งเพิ่มโทษสำหรับเจ้ามือและเจ้าของเว็ปไซต์ เป็นต้น
รวมทั้งควรมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์การพนันออนไลน์ เพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งการรณรงค์ต้านพนันในเด็กและเยาวชนควบคู่กันไป
สื่อออนไลน์ จึงเปรียบเสมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน ที่มีทั้งด้านดีและไม่ดี จึงอยู่ที่ว่าผู้ใช้ จะคิด จะค้น หรือสื่อไป ในแนวทางไหน เพื่อให้ก่อแต่ประโยชน์ หรือจะก่อให้เกิดโทษมหันต์ แต่สำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งเสมือนกับผ้าขาวแล้ว ก่อนใช้จึงเป็นคำถามว่า ถึงเวลาที่เราต้องควบคุมการใช้ให้อยู่ในกรอบหรือไม่ และผู้ใหญ่เองก็ต้องรู้เท่าทันในสิ่งนี้ เพื่อให้เด็กในวันนี้ รับแต่สื่อที่สะอาด เพื่อนำไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี