การพูดคุยสันติสุข อย่างเป็นทางการยกแรก ระหว่างตัวแทนขบวนการแบ่งแยกดินแดน 6 กลุ่ม กับตัวแทนของรัฐบาลไทยโดย พล.อ.อัษรา เกิดผล โดยมี ดาโต๊ะ ซัมซามิน อดีต ผอ.สำนักข่าวกรองประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นตัวแทนของ รัฐบาลมาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวยความสะดวก ในการเปิดเวที “พูดคุยสันติภาพ” ก็ได้ผ่านพ้นไป ซึ่งก่อนหน้านี้ ตัวแทนของ รัฐบาลไทย และตัวแทนของขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลุ่มต่างๆ ได้มีการ “พูดคุย” กันมาแล้วหลายครั้ง แบบไม่เป็นทางการ
สาระสำคัญของการพบปะพูดคุย ระหว่างตัวแทนของขบวนการทั้ง 6 กลุ่ม กับตัวแทนของรัฐบาลไทย ฝ่ายไทยได้นำเสนอต่อกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้ง 6 กลุ่ม 3 ข้อ ด้วยกัน 1.การสร้างพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งหมายถึงให้ฝ่ายขบวนการ “ยุติ” การก่อการร้าย2.การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชน นั่นคงหมายถึงงานของการพัฒนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 3.สร้างกระบวนการยุติธรรมให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย นั่นย่อมหมายถึงการแก้ปัญหาด้านความเป็นธรรม ที่เป็น “รากเหง้า” ของปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในขณะที่ ตัวแทนของขบวนการ ก็ได้ “หยิบยื่น” ข้อเสนอให้ฝ่ายรัฐบาลไทยพิจารณา 3 ข้อ เช่นกัน 1.กำหนดให้การพูดคุยเพื่อสันติภาพเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะต้องสานต่อการพูดคุยของทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง 2.ให้รัฐบาลไทยยอมรับว่า องค์กร”มาราปัตตานี” ซึ่งเป็น องค์กรที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เพื่อการเข้าสู่เวทีการ”พูดคุยสันติภาพ” เป็นองค์กรที่ชอบด้วยกฎหมาย 3.ให้ความคุ้มครองทางกฎหมายกับคณะพูดคุยสันติสุข จำนวน15 คน โดยมีการกล่าวว่า ในขณะที่มีการ “พูดคุย” ดำเนินอยู่ บีอาร์เอ็นฯ จะไม่โจมตีเป้าหมายที่อ่อนแอ นั่นแสดงให้เห็นว่า ถ้าการ“พูดคุยสันติสุข” ยังไม่มีการยกเลิก หากเกิดเหตุต่อเป้าหมายที่“อ่อนแอ” เช่น ประชาชน ข้าราชการพลเรือน พระภิกษุ และอื่นๆ ที่อยู่ใน “ข่าย” ของเป้าหมาย “อ่อนแอ” บีอาร์เอ็น จะปฏิเสธความรับผิดชอบ
ขบวนการ ที่เข้าร่วม “พูดคุยสันติสุข” ครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายู หรือที่รู้จัดกันในนามของ “บีอาร์เอ็น” 2.แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามปัตตานี “บีไอพีพี 3.ขบวนการมูจาฮีดินอิสลามปัตตานี หรือ “จีเอ็มไอพี” และ 4,5 และ 6 คือองค์กรปลดปล่อยสหปัตตานี หรือ “พูโล” ที่แยกกันเป็น 3 กลุ่ม และแต่ละกลุ่มก็ส่งตัวแทนเข้ามาร่วมเวที
เมื่อมองดูขบวนการ หรือกลุ่มต่างๆ ที่เข้าร่วมเวที “พูดคุยสันติสุข” ครั้งนี้ จะเห็นว่า ณ วันนี้มีเพียงขบวนการ บีอาร์เอ็น เท่านั้น ที่มีกองกำลังติดอาวุธก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา ส่วนขบวนการ จีเอ็มไอพี ขบวนการ “พูโล” แม้ว่าจะยังพอมี“สมาชิก” หรือ “แนวร่วม” ที่เป็น กองกำลังติดอาวุธอยู่บ้าง แต่ก็อยู่ในลักษณะของ “แนวร่วม” ที่อยู่ในลักษณะของการ “ว่าจ้าง” เพื่อให้ก่อเหตุร้าย
ส่วนแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามปัตตานี หรือ “บีไอพีพี” นั้น เป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ “แก่แก่” ซึ่งวันนี้มีเพียงความเคลื่อนไหว ในประเทศต่างๆ อาจจะมีบทบาทงานด้าน “การเมือง” แต่ไม่มีบทบาทงานด้านการ “ทหาร” หรือการก่อการร้ายแต่อย่างใด
จะเห็นว่า แม้จะมีผู้เข้าร่วมพูดคุยถึง 6 กลุ่ม ซึ่งอาจจะเป็น 7 หรือ 8 กลุ่มในอนาคต แต่บทบาทของการเป็น “ผู้นำ” ในการ “พูดคุย” ยังอยู่ที่ ขบวนการ “บีอาร์เอ็น เนื่องจากหัวหน้าของกลุ่มทั้ง 6 กลุ่ม คือ “อาวัง ยะบะ” ที่ถูก ยกให้เป็นประธานกลุ่ม “มารา ปาตานี” ส่วนหัวหน้าคณะการ “พูดคุย” คือ “สุกรี ฮารี” ซึ่งเป็น “แกนนำ” คนสำคัญสาย “เยาวชน” ของ บีอาร์เอ็น
และเมื่อเปิดแฟ้มประวัติดู จะพบว่า “สุกรี ฮารี “ คือครูสอนศาสนา เป็น ผู้จัดการโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาชื่อดังของ จ.ยะลาเป็น 1 ใน 9 ผู้ต้องหาความมั่นคง ที่ถูกจับกุม เมื่อหลายปีก่อน และมี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ท่านหนึ่ง เป็น “นายประกัน” เพื่อให้ ศาลปล่อยตัวชั่วคราว แต่หลังจากที่ได้รับการ “ปล่อยตัว” “สุกรี ฮารี” ก็ไม่เคยไปศาลตามหมายเรียก แต่เลือกที่จะหลบหนีไปนอกประเทศ และเป็น “แกนนำ” คนสำคัญของ ขบวนการบีอาร์เอ็น ในการ “ต่อสู้” กับรัฐบาล และสุดท้ายเขาคือ หัวหน้าคณะ “มารา ปาตานี” ที่รับผิดชอบในการ “พูดคุย” กับ ตัวแทนของรัฐบาลไทย ในการเสนอข้อเรียกร้องต่างๆ เพื่อให้บรรลุถึงสิ่งที่ต้องการของ ทั้ง 2 ฝ่าย
จะเห็นว่า แม้ในการเปิดเวที “พูดคุย” ครั้งนี้ ไม่มีทั้ง “ฮาซัน ตอยิบ” ซึ่งเคยเป็น หัวหน้าในการ “พูดคุย” สมัยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และข้อเสนอ 5 ข้อ ที่บีอาร์เอ็นเคยเสนอต่อ รัฐบาล “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ก็ไม่ได้มีการนำเสนอต่อการ “พูดคุย” ในครั้งนี้ แต่ก็อย่างเพิ่งเชื่อว่า จะไม่มีการนำเสนอ ข้อเสนอเก่า ทั้ง5 ข้อ เข้ามา ในอนาคต
เพราะในการแถลงข่าวของ “มารา ปาตานี” ต่อ “สื่อมวลชน” นั้น ยังมีการแถลงที่ชัดเจนว่า ทุกขบวนการที่เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้มีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือ “เอกราช” ซึ่งคำว่า “เอกราช” นี้ คงจะต้อง “ตีความว่า” เป็น อะไร และ อย่างไร
และแม้ว่า ทั้ง 2 ฝ่าย จะนำเสนอข้อเรียกร้องฝ่ายละ 3 ข้อ แต่ทั้ง 3 ข้อ ถ้าอ่านเพียงผ่านไป อาจจะไม่เห็น “นัย” ที่ซ่อนเร้นแต่ถ้ามีการ “ตีความ” หรือ “ขยายความ” จะเห็นว่า ต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ เป็นอย่างยิ่ง เช่นการให้นำเรื่องการ“พูดคุย” เป็น “วาระแห่งชาติ” และการให้ รัฐบาลรับว่า องค์กร “มารา ปัตตานี เป็นองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนการยอมรับ ก็ต้องให้ความ “รอบคอบ” อย่างยิ่ง
เพราะการยอมรับองค์กร “มารา ปัตตานี” เป็นองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจจะถูกนำไปเคลื่อนไหวในประเทศที่ 3 ในองค์กรสากลของโลก และองค์กรอื่นๆ เพื่อสร้างความ “ชอบธรรม” ความ “ได้เปรียบ” ในการ ก้าวต่อไปของการ “เจราจา” ซึ่ง ล้วนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
เช่นเดียวกับ “เงื่อนไข” การสร้างพื้นที่ปลอดภัย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เป็นข้อเสนอของรัฐบาลไทย ฝ่ายขบวนการก็ต้องทบทวนอย่างหนัก เพราะหากมีการรับขอเสนอดังกล่าว นั่นหมายถึงกองกำลังเหล่านั้น จะปฏิบัติการทาง “ทหาร” ไม่ได้ นั่นเอง
แต่...อย่างไรก็ตาม การ “พูดคุย” ครั้งนี้ เป็นเพียง “ออเดิร์ฟ”จานแรกที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะเท่านั้น ส่วนจานที่จะตามมา ซึ่งเป็น “จานหลัก” บนโต๊ะ “เจรจา” ยังไม่มีใคร “คาดเดา” ได้ และการ “พูดคุย” หรือ “เจราจา” ครั้งนี้เป็นเพียงการ “สร้างความเข้าใจ” หรือทำความรู้จักระหว่างกันเท่านั้น ซึ่งคงจะต้องรอให้มีการ “พูดคุย” หรือการ “เจรจา” ครั้งที่ 2 ซึ่งกล่าวว่าจะเกิดขึ้นในปลายเดือนตุลาคม เชื่อว่าจะเป็นให้คำตอบของทั้ง 2 ฝ่าย ว่าจะยอมรับข้อเสนอของกันและกัน
ซึ่งตรงนั่นแหละที่จะได้เห็นอะไรที่ชัดเจน และจะได้เห็น “คมเขี้ยว”และ “ชั้นเชิง” ของแต่ละฝ่าย ซึ่งในการพูดคุยครั้งต่อไป จะเป็นจุดที่“ชี้ขาด” ว่า การพูดคุยจะเป็นจุดในการสร้าง “สันติสุข” ได้จริง หรือสุดท้ายแล้ว สถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคง “ปกคลุม” ไปด้วย “เมฆหมอก” ของความเลวร้ายเช่นเดิม
แต่...ไม่ว่าจะอย่างไร การ “พูดคุย” ของ คู่ “ขัดแย้ง” ทั้ง 2 ฝ่ายก็เป็นเรื่องที่ดี เป็นสิ่งที่คนในพื้นที่ให้การสนับสนุน ในการแก้ปัญหาความไม่สงบ หรือในการดับ “ไฟใต้” เพราะมี “ก้าวแรก” ย่อมต้องมีก้าวต่อไป และต่อไป ซึ่งเป็นการก้าวไปสู่ “สันติสุข” ซึ่งวันนี้ยังคง “ไกลลิบ” แต่เชื่อว่า“ไม่ไกล” จนไปไม่ถึง หากทั้ง 2 ฝ่าย มีความ “ตั้งใจ” และมีความ “จริงใจ” กับปัญหาความไม่สงบที่ปลายด้ามขวาน
เมือง ไม้ขม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี