หมายจับบึ้มราชประสงค์
ตามล่าอีก2
สาวพังงา-ชายชาวต่างชาติ
ปูดผู้หญิงเผ่นเข้า‘ตุรกี’แล้ว
ญาติยันบริสุทธิ์-จ่อมอบตัว
บิ๊กตู่ยอมรับอาจโยง‘อุยกูร์’
ลั่นพาคนไทยผ่านฝันร้าย
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 31 สิงหาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(โฆษกสตช.) เปิดเผยว่า ศาลจังหวัดมีนบุรีได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ เพิ่มอีก 2 ราย คือ น.ส.วรรณา สวนสัน อายุ 26 ปี ผู้เช่าห้องพักเลขที่ 9106 หอพักไมมูณา ย่านมีนบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบอุปกรณ์ที่เตรียมใช้ประกอบระเบิดเป็นจำนวนมาก และอีกรายเป็นชายตามภาพสเก็ตช์ ซึ่งยังไม่ระบุสัญชาติ นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังอยู่ระหว่างขอหมายจับเพิ่มอีกหลายราย และมั่นใจว่าแนวทางสืบสวนสอบสวนมาถูกทางแล้ว
รู้ตัวสมาชิกแก๊งบึ้มแล้ว
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับการสอบสวนผู้ต้องหาชาวต่างชาติ ที่ถูกจับกุมได้ย่านหนองจอก ขณะนี้มีชัดเจนแล้วว่า เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร แต่ยังไม่ทราบสัญชาติที่ชัดเจน ขณะเดียวกันสามารถรู้กลุ่มคนร้าย และรู้ว่าในกลุ่มมีใครบ้าง แต่เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ใช้ชื่อปลอม จึงต้องเร่งติดตามพิสูจน์ให้รู้ ชื่อนามสกุลที่แท้จริง ทั้งนี้ ตำรวจยังคงต้องดำเนินการตรวจค้นทุก 2-3 เดือน พร้อมขอความร่วมมือเจ้าของอพาร์ตเมนต์ หอพัก ที่พบผู้พักอาศัยลักษณะคล้ายคนร้าย สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อให้เข้าไปตรวจสอบได้ทันที
ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง
ต่อมา พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประวุฒิ ได้ร่วมกันแถลงภายหลังการประชุมศูนย์ติดตามสถานการณ์ คสช. กรณีการจับกุมผู้ต้องสงสัยก่อเหตุวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ภายในกรมทหารราบที่1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1รอ.) ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) โดย พ.อ.วินธัย แถลงว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประธานการประชุม ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ละเอียดรอบคอบ ตลอดจนนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนามาตรการป้องกันและป้องปรามให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่สรุปหรือตัดประเด็นใดๆ ทิ้งจนกว่าจะได้องค์ประกอบทางด้านพยานหลักฐาน มาสนับสนุนประกอบการทำคดีให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด
ค้นอพาร์ตเมนต์พบอุปกรณ์บึ้มอื้อ
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ความคืบหน้าคดีระเบิดในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 17-18 สิงหาคม ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย และยังสืบทราบว่าที่พักของผู้ต้องหามีเครือข่ายหรือความเกี่ยวเนื่องอยู่ในอพาร์ตเมนต์ชื่อ ไมมูณา การ์เด้นโฮม เลขที่ 40/11 ซอยราษฎร์อุทิศ 25/8 ถ.ราษฎร์อุทิศ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ จึงได้ผสานกำลังระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พบอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบระเบิด ดังนี้ 1.ดินดำ 2.ปุ๋ยยูเรีย 3.รถบังคับวิทยุ พร้อมรีโมทคอนโทรล 4.นอตตัวผู้และตัวเมีย 5.หลอดไฟขนาดเล็ก และ 6.นาฬิกาดิจิตอลและนาฬิกาตั้งเวลา
สมยศเชื่อมีคนไทยร่วมเอี่ยว
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ผลการสอบปากคำผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดีการวางระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ ขณะนี้ถือว่ามีประโยชน์มาก สามารถสืบไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องได้อีกไม่น้อย และน่าจะมีทั้งคนไทยและต่างชาติร่วมอยู่ในนี้ด้วย เนื่องจากการที่ชาวต่างชาติจะเข้ามาดำเนินการในไทย จะต้องทราบเส้นทางการเข้าออก การหาที่อยู่อาศัย การหาอุปกรณ์ประกอบระเบิด และการหาเส้นทางหลบหนี หรืออาจจะมีเจ้าหน้าที่รัฐฯ เกี่ยวข้องด้วย กระบวนการดังกล่าวนี้ มั่นใจว่ามีไม่ต่ำกว่า 10 คน เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทยมานานแล้ว เข้ามาตั้งแต่ปี 57 เเต่ส่วนตัวมั่นใจว่า ไม่ใช่การก่อการร้ายข้ามชาติ
โชว์เงินสด3ล้านค่านำจับ
พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.สมยศ ได้นำเงินสด จำนวน 3 ล้านบาท มาโชว์กับสื่อมวลชน โดยกล่าวว่า จะมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทั้งทีมสืบสวนของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. และ ทีมของ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รรท.ผบช.ส. พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล เจ้าหน้าที่กองปราบ และนครบาล ที่ร่วมกันทำงานจนสามารถคลี่คลายคดีดังกล่าวได้ โดยเป็นฝีมือ เป็นความสามารถของเจ้าหน้าที่ล้วนๆ ที่ได้แบ่งงานกันทำในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะใช้วิธีการสืบสวนวิธีใด หรือใช้เทคโนโลยีต่างๆ
ยอมบอกชื่อเพื่อนร่วมแก๊งแล้ว
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการ คสช. เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการควบคุมตัวสอบสวนผู้ต้องหาชายชาวต่างชาติ เพื่อขยายผลทางคดีเพิ่มเติม โดยอยู่ในความดูแลของทหาร โดยมีฝ่ายตำรวจร่วมสอบสวนด้วย ซึ่งในเบื้องต้น ผู้ต้องหายอมเอ่ยชื่อบุคคลที่ร่วมขบวนการแล้ว 2-3 คน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้บงการใหญ่ ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะอาจจะเสียรูปคดี ทั้งนี้ ยืนยันว่า กระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทหารจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่เป็นลักษณะพูดคุยอย่างระมัดระวัง คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการสอบสวน ประมาณ 7 วัน จึงจะแล้วเสร็จ ก่อนจะดำเนินการในขั้นต่อไป
ประวิตรระบุพร้อมหารือตุรกี
ด้าน พล.อ.ประวิตร เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ใช้นิติวิทยาศาสตร์เข้ามาสืบหาข้อเท็จจริงพยานและหลักฐานทั้งหมด ซึ่งภาครัฐพอใจต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่พยายามสืบสวนและสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดี อย่างไรก็ตาม ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ได้ทำงาน เชื่อว่าเหตุการณ์นี้มีผู้เชื่อมโยงอีกมาก ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหนังสือจากรัฐบาลตุรกี ซึ่งหากรัฐบาลตุรกีต้องการเข้าพบทางรัฐบาลไทยยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ตอนนี้กำลังสอบสวนอยู่ว่าผู้ต้องหาเป็นสัญชาติอะไร ขอให้คนไทยได้มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุนี้ขึ้นอีก และเราก็ได้แสดงให้ชาวต่างชาติได้มั่นใจว่ามาท่องเที่ยวในประเทศเราแล้วจะไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแล้ว
นายกฯเปลี่ยนใช้รถกันกระสุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางมาเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 7 /2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยในครั้งนี้ ได้เปลี่ยนรถประจำตำแหน่งจากรถเบนซ์ส่วนตัว ทะเบียน ญค 1881 กรุงเทพมหานคร ที่ใช้เป็นประจำตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาเป็นรถตู้โฟล์คสีดำกันกระสุน ทะเบียน ฮภ 2923 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
บิ๊กตู่รับระเบิดอาจโยงอุยกูร์
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้คดีคืบหน้าไปมาก พบความเชื่อมโยงมากขึ้นเรื่อยๆ ขอให้เวลาเจ้าหน้าที่สอบสวนทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ อย่าเพิ่งลงความเห็นว่าจะมีการเชื่อมโยงภายในประเทศหรือต่างประเทศเพราะอาจกระทบต่อความมั่นคง ซึ่งต้องให้ความสำคัญในบริเวณชายแดนและทางเข้าออกของประเทศโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ไม่สามารถเช็คประวัติได้ อีกทั้งเจ้าของกิจการที่ให้เช่าที่พักควรระมัดระวังให้มากขึ้น ส่วนการออกหมายจับผู้ต้องหา 2 รายล่าสุด ทราบว่ามีหลักฐานมาจากกล้องวงจรปิดและอื่นๆ ที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งตนเชื่อว่า ผู้ต้องหารายแรกที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ ยังไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นชาวตุรกีหรือไม่เนื่องจากพาสปอร์ตเป็นของปลอม และอาจจะมีความเชื่อมโยงกับการลักลอบขนย้ายชาวอุยกูร์ ซึ่งมองว่าการก่อเหตุทำงานเป็นขบวนการและมีคนไทยร่วมมือด้วย
ลั่นพาคนไทยผ่านฝันร้าย
วันเดียวกัน สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้นำจดหมายข่าวรัฐบาล เพื่อประชาชน ฉบับที่ 9 มาแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน โดยหน้าปกเป็นรูปธงชาติไทย พร้อมข้อความ“เราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน เพราะที่นี่คือประเทศของเรา บ้านของเรา OUR HOME COUNTRY STRONGER TOGETHER” ขณะที่หน้า 2 คอลัมน์จากใจนายกรัฐมนตรี มีข้อความสรุปว่า เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ควรค่าแก่ความทรงจำหลายประการ แต่กลับเกิดเหตุระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ รัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อทุกท่านที่ได้รับผลกระทบ และจะดูแลผู้บาดเจ็บทุกคน แต่จากนี้จะไม่เป็นเวลาแห่งความท้อใจหรือตื่นตระหนก การขับเคลื่อนประเทศจะเดินหน้าต่อไป และหน่วยงานด้านความมั่นคง จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อนำความสงบสุข ความเชื่อมั่นกลับมาสู่ประเทศไทย ตนและ ครม.ทุกคนให้คำมั่นว่า จะดำเนินการทุกวิถีทาง อย่างสุดความสามารถไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้อีก ผู้กระทำผิดทั้งหมดจะต้องถูกนำตัวมาลงโทษตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ขอให้คำมั่นกับพี่น้องประชาชนว่า เราจะผ่านช่วงเวลาแห่งฝันร้ายนี้ไปด้วยกัน
คาดโยงแก๊งส่งคนเข้าเมืองผิดกม.
รายงานข่าวแจ้ง ผู้ต้องหาชาวต่างชาติที่ถูกคุมตัวไว้สอบปากคำ ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากพยานหลักฐานในห้องพัก และข้อมูลจากกองพิสูจน์หลักฐานที่พบสารประกอบระเบิดบนเสื้อผ้าของผู้ต้องหา ตรงกับพยานวัตถุที่พบที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร ซึ่งจะต้องนำไปตรวจดีเอ็นเอหาความเชื่อมโยงต่อไป ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสัญชาติ น่าเชื่อว่าไม่ใช่ชาวตุรกี แต่ยังไม่สามารถยืนยันสัญชาติที่แท้จริงได้ ทราบเพียงว่าเข้าประเทศไทยมาจากทางประเทศลาวและเวียดนาม ส่วนการตรวจพบพาสปอร์ตปลอมจำนวนมากนั้น เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้ามนุษย์ เอาคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเพื่อหลบหนีไปประเทศที่สาม ซึ่งอาจโกรธแค้นที่ถูกรัฐบาลไทยกวาดล้างจึงก่อเหตุวางระเบิดดังกล่าวขึ้น
บุกค้นบ้านหญิงต้องสงสัยที่พังงา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.สหรัฐ ศักดิ์ศิลปชัย รอง ผบก.สส.ภ.8 และ พ.ต.อ. ธรัฐชา ถมปัด รอง ผบก.ภ.จว.พังงา พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 232 บ้านห้วยทรัพย์ หมู่ที่ 6 ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา ซึ่งเป็นบ้านพักของ น.ส.วรรณา หรือ นางไมซาเลาะ สวนสัน อายุ 26 ปี ตามหมายจับของศาลมีนบุรี ในข้อกล่าวหาครอบครองยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตำรวจเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวโยงกับ เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ ซึ่งญาติยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นแต่โดยดี
อยู่ตุรกี-ยันไม่เกี่ยวเหตุบึ้ม
ญาติผู้ใกล้ชิด น.ส.วรรณา คนหนึ่ง เปิดเผยว่า น.ส.วรรณา ไม่ได้กลับบ้านมานานกว่า 3 เดือนแล้ว ญาติได้ติดต่อทางโทรศัพท์ และไลน์ พูดคุยกับ น.ส.วรรณา จนทราบว่าขณะนี้พักอาศัยอยู่ที่ประเทศตุรกี ส่วนเรื่องที่ น.ส.วรรณา ถูกออกหมายจับนั้น ขณะนี้เจ้าตัวได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และได้ติดต่อกับตำรวจกองปราบปรามแล้ว รวมทั้งระบุว่าจะรีบเดินทางกลับมารับทราบข้อกล่าวหาโดยเร็ว
พบประวัติเข้า-ออกหลายปท.
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติการเดินทาง พบว่า น.ส.วรรณา ได้ออกจากไทยไปตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ผ่านทางท่าอากาศยานภูเก็ต ด้วยสายการบินเอทิฮัด เที่ยวบิน EY 431 ปลายทาง อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยในวันดังกล่าวมีภาพปรากฏที่สนามบินภูเก็ตพร้อมกับชายที่มีใบหน้าคล้ายกับภาพสเก็ตช์ที่ถูกออกหมายจับพร้อมกัน นอกจากนี้ ยังพบว่า น.ส.วรรณา มีประวัติเดินทางไปยังมาเลเซีย โดยข้ามไปทางด่าน อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2557 และ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 เดินทางไปยังกัมพูชา ผ่านด่าน อ.คลองลึก จ.สระแก้ว
จนท.เชื่อยังป้วนเปี้ยนในไทย
อย่างไรก็ตาม ชุดสืบสวนยังไม่ปักใจเชื่อว่า น.ส.วรรณา จะอาศัยอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากการสอบถามผู้ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นต์ พบว่ายังคงเห็น น.ส.วรรณา และชายตามภาพสเก็ตช์ เข้า-ออก ในอพาร์ทเม้นท์ช่วงประมาณวันที่ 10-20 สิงหาคมที่ผ่านมา อีกทั้งจากการตรวจสอบประวัติพบว่า น.ส.วรรณา มีสามีเป็นชาวตุรกี อีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี