กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ร่วม ม.เชียงใหม่ + 7 มหาวิทยาลัย เปิดตัวเรียบร้อยแล้วสำหรับอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ที่มีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นศูนย์กลาง และมีเครือข่ายการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง ได้แก่ แม่โจ้,แม่ฟ้าหลวง, พะเยา, นเรศวร, ราชภัฏอุตรดิตถ์ และราชภัฏพิบูลสงคราม
โดยงานเปิดตัวอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ จัดขึ้นที่เชียงใหม่ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เชียงใหม่ แอร์พอร์ต จ.เชียงใหม่เมื่อวันที่ 29-30 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัย 8 แห่ง ที่อยู่ในอุทยาวิทยาศาสตร์ได้นำนวัตกรรมไทยพร้อมใช้พร้อมผลงานวิจัยที่ได้รับการพัฒนามาจัดแสดงโดยมีดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ และรศ.ดร.วีระพงษ์แพสุวรรณ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นประธานเปิดงาน
สำหรับไฮไลท์สำคัญที่อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือนำมาโชว์คือ การเปิดตัว “เครื่องกำจัดแมลงในข้าวด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency Heating : RF)” เครื่องแรกของโลก โดยทีมวิจัยจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดยนางสุชาดา เวียรศิลป์โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จำนวน 20 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาแมลงในข้าว โดยเฉพาะมอดและด้วงงวงช้างกับด้วงงวงข้าวโพด ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญของข้าว เครื่องกำจัดแมลงในข้าวจะใช้คลื่นความถี่วิทยุเป็นตัวกำเนิดความร้อนที่ความที่ 27.12 เมกะเฮิรตช์โดยภายใน 1 วินาที จะมีการสั่นสะเทือนของโมเลกุลที่ 27.12 ล้านครั้งเพราะฉะนั้นการสั่นสะเทือนและการเหนี่ยวนำจากสนามแม่เหล็กจะทำให้เกิดความร้อนที่อุณหภูมิที่ 55 องศา ความร้อนจะไปทำปฏิกิริยากับมอดและด้วง ซึ่งมีส่วนประกอบของน้ำในตัวมันเองประมาณ 80-90เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เมล็ดข้าวจะมีความชื้นประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้นน้ำในตัวมอดและด้วง รวมทั้งความชื้นในข้าวจะเป็นตัวเหนี่ยวนำความร้อนทำให้มอดและด้วงรวมทั้งไข่ มอดในข้าว
ตลอดจนห่วงโซ่ชีวิตของแมลงในข้าวทุกชนิดตาย โดยที่ไม่ต้องใช้สารเคมีที่สำคัญเครื่องกำจัดแมลงในข้าวยังสามารถฆ่าเชื้อโรคในระหว่างการจัดเก็บข้าว ลดการหืน และยืดอายุการเก็บข้าวได้ยาวนานขึ้น ขณะที่คุณภาพของข้าวจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งรสชาติ กลิ่นและรูปทรง ซึ่งเครื่องดังกล่าวถือเป็นเครื่องแรกของโลก และได้มีการจดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว
นางสุชาดา เวียรศิลป์ เล่าให้ฟังว่า เครื่องกำจัดแมลงในข้าวต้นแบบมีขนาด 15x15x6 เมตร สามารถกำจัดแมลงในข้าวรวมทั้งฆ่าเชื้อโรค ลดความชื้นได้ 3 ตันต่อชั่วโมง ถ้ามีการพัฒนาเครื่องนี้ให้ใหญ่ขึ้นจะเป็นผลดีต่อการส่งออกข้าวไทยในต่างประเทศ เพราะจะทำให้ไม่มีปัญหาแมลงและความชื้นในข้าว ซึ่งปัจจุบันระบบกำจัดแมลงและความชื้นในข้าวเราใช้แบบรมควัน ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 7 วันแมลงในข้าวถึงตาย แต่ไข่แมลงยังอยู่ และมีสารตกค้างในข้าว ถ้าข้าวมีคุณภาพจะสร้างรายได้ให้กับประเทศมาก
ขณะที่นายวีระพงษ์ แพสุวรรณ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า เครื่องกำจัดแมลงในข้าวถือว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย เพราะข้าวมีความผูกพันกับคนไทยมานาน การที่เราสามารถคิดค้นเครื่องกำจัดแมลงในข้าวเป็นแห่งแรกของโลก ไม่เพียงแต่จะส่งผลถึงเกษตรกร ระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังเป็นการช่วยชีวิตของเกษตรกรไม่ให้ถูกสารเคมีจากการรมควัน
อีกทั้งมอดกับด้วง ถือเป็นศัตรูของชาวนาแถบภูมิภาคเอเชียมาอย่างช้านาน ทำให้การเก็บข้าวมีอายุจำกัด ทั้งนี้เครื่องกำจัดแมลงในข้าวต้นแบบกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะนำไปไว้ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างและที่น่ายินดีว่าเครื่องดังกล่าวได้มีบริษัทเอกชนคือ บริษัทยนต์ผลดี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์โรงสีข้าวอย่างครบวงจร ได้ร่วมลงนามกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เพื่อนำเครื่องดังกล่าวไปใช้ประโยชน์สำหรับโรงสีข้าวแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมไทยอีก 99 ชิ้นพร้อมใช้งาน อาทิ เครื่องเพาะกล้านาโนของ ม.ราชภัฏอุตรดิตถ์ เครื่องแบนกล้วยของ ม.นเรศวร ระบบเตือนภัยผู้บุกรุกสำหรับที่อยู่อาศัยและสำนักงาน และ และเครื่องตรวจธาลัสซีเมียกึ่งสำเร็จรูป ของ ม.พะเยา เครื่องบอกเตือนสิ่งกีดขวางสำหรับผู้พิการทางสายตา ของ ม.แม่ฟ้าหลวง เป็นต้น นวัตกรรมไทยพร้อมใช้งานของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ หรือ “นิคมธุรกิจวิทยาศาสตร์” ถือเป็นผลงานสำคัญของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศไทย ในยุคเปลี่ยนผ่านการปฎิรูปประเทศ
โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ตัวกลางหรือประตูผ่านสำหรับให้ภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ ภาคการศึกษาและภาคชุมชนท้องถิ่น ได้มาร่วมกันทำวิจัยพัฒนา ตลอดจนบ่มเพาะผู้ประกอบการและเทคโนโลยีใหม่ๆ สู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งได้มีการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ที่กำลังขาดแคลน ด้วยเหตุนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จึงผลักดันให้มีการก่อสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 3 แห่ง ใน 3 ภูมิภาค และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) จัดสรรงบประมาณอุดหนุนผ่านสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีกรอบวงเงินงบประมาณดำเนินการโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือที่ จ.เชียงใหม่ จำนวน 2,680 ล้านบาท โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.ขอนแก่น จำนวน 2,764 ล้านบาท และโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ ที่จ.สงขลา จำนวน 3,198 ล้านบาท รวม 8,642 ล้านบาท
โดยแต่ละอุทยานฯ จะมีบุคลากรวิจัยพื้นที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เอกชนสามารถเริ่มต้นได้เร็วและลงทุนต่ำ ที่สำคัญมีการบริหารจัดการโดยมืออาชีพเฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจ การส่งเสริม นวัตกรรมและการสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจด้วยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี “ในแต่ละอุทยานฯจะมีกำหนดเป้าหมายในการผลิตเพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อน โดยภาคเหนือ จะเน้นนวัตกรรมข้าวไทย ครอบคลุมตั้งแต่เกษตรต้นน้ำด้านพันธุ์พืช ไปจน
ถึงอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเน้นอุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ ขณะที่ภาคใต้ เน้นการยกระดับและการเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมยางพารา ปาล์มน้ำมัน อาหารทะเล และอาหารฮาลาล”
ขณะที่ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ระบุว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการนำทรัพยากรและงาน วิจัยในภาครัฐมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่และประเทศเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ปัจจุบันอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างอาคาร 2 แห่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้จะเริ่มก่อสร้างในปี 2559ทั้ง 3 อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคจะแล้วเสร็จพร้อมกันในปี 2562 และเมื่อนั้นประเทศไทยจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี