“มองเข้าไปในรูปนั้นก็เห็นดวงตาที่พระองค์ท่านมองมา เหมือนดวงตาที่ให้กำลังใจ ให้ความอบอุ่น ให้ความรู้สึกแบบ “ครูไม่มีใครแต่ครูมีเราอยู่” จากความรู้สึกตรงนั้นก็นึกถึงว่าพระองค์ท่านอยู่ไกล แต่พระองค์ท่านยังมาตรงนี้ มาให้มีโรงเรียนในโครงการหลวง เราในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่โครงการหลวง เราเป็นข้าแผ่นดินน้อยๆคนหนึ่งต้องทำหน้าที่”
เป็นคำบอกเล่าเครือเบาในแววตาที่รื้นด้วยน้ำตา แต่หนักแน่นเด็ดเดี่ยว และเชื่อมั่นที่จะเดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อช่วยให้เด็กชาวเขาด้อยโอกาสบนดอยสูงมีโอกาสทางชีวิตและสังคมที่ดีขึ้นของ “ครูเรียม” นางเรียม สิงห์ทร แห่ง โรงเรียนบ้านขอบด้ง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อครูผู้สมควรได้รับพระราชทาน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” และผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลในระดับ “ครูยิ่งคุณ” ประจำปี 2558ของ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และ กระทรวงศึกษาธิการ
ย้อนกลับไปสามสิบกว่าปีก่อน หญิงสาวที่ก้าวขึ้นมาสู่ยอดดอยเกือบตัดสินใจทิ้งอุดมการณ์ถอยหลังกลับเมืองหลวง แต่เมื่อมองไปเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในห้องเรียนของโรงเรียนบ้านขอบด้งที่ไร้เด็กนักเรียน ก็เหมือนกับได้สบกับสายพระเนตรของพระองค์ ครูเรียมในวันนั้นจึงตัดสินใจสู้ต่อ บุกไปหาเด็กนักเรียนถึงกลางไร่ข้าว ไร่ฝิ่น เพื่อจะสอนให้พวกเขารู้ภาษาไทย รู้กฎหมายไทย รู้จักความเป็นไทย
สถานการณ์ที่ดอยอ่างขางในขณะนั้นไม่เพียงล่อแหลมด้วยความไม่ปลอดภัยจากกองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม
ทั้ง ว้า คะฉิ่น จีนฮ่อ และไทยใหญ่ ปัญหายาเสพติด และผู้อพยพที่ “ครูเรียม” จะต้องพบกับอันตรายรอบด้านเท่านั้น แต่ที่มากไปกว่านั้นคือการสื่อสารกับชาวเขาซึ่งต่างภาษาต่างความคิด ที่พูดกันไม่เข้าใจและไม่เห็นว่าการส่งลูกมาเรียนจะเป็นประโยชน์กว่าการช่วยพ่อแม่ทำนาทำไร่
เมื่อเด็กไม่มาเรียนที่โรงเรียน “ครูเรียม” จึงต้องบุกไปสอนเด็กถึงในหมู่บ้าน นอนในหมู่บ้าน และเปิดโรงเรียนสอนกลางนากลางแปลงผักเป็น “ห้องเรียนธรรมชาติ” จนกระทั่งโน้มน้าวจิตให้ทั้งพ่อแม่และเด็กเห็นความสำคัญของการรู้ภาษาไทย เพื่อจะได้อ่านฉลากยา รู้กฎหมาย ไม่ถูกเอาเปรียบอีกต่อไป โรงเรียนบ้านขอบด้งจึงได้เปิดสอนขึ้นเต็มระบบเมื่อเด็กกลับมาเรียนในห้องเรียน มีการสอนอาชีพโดยนำโครงการหลวงมาส่งเสริม ปลูกผักและดอกไม้ โดยปลูกผักให้เด็กกินเป็นอาหารกลางวัน แล้วก็ปลูกดอกคาร์เนชั่นเพื่อขายเป็นรายได้ให้เด็ก
“ครูๆ ปลูกดอก มันบ่ได้กินนา เด็กๆ ว่าอย่างนี้ ก็เลยบอกเขาว่าปลูกดอกนี้มันได้กินอยู่ มันได้กินตรงที่ว่าปลูกดอกสวย คนก็มาซื้อดอก แล้วเราก็เอาเงินตรงนั้นมาซื้อของกิน เด็กก็เลยเข้าใจว่าปลูกดอกแล้วได้กินด้วย ไม่ใช่ปลูกดอกแล้วไม่ได้กิน” ครูเรียมเล่าถึงความหลังและกล่าวต่อว่า เมื่อการปลูกดอกไม้และผักของนักเรียนได้ผลดี ทางโครงการหลวงแจ้งว่าจะมีผู้ใหญ่ระดับสูงมาดูงาน ซึ่งตัวของครูเรียมเองก็ไม่ทราบมาก่อนว่า ผู้ใหญ่ระดับสูงคนนั้นก็คือองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นแรงบันดาลใจ
ในวันที่ 11 มีนาคม 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี เสด็จฯมาที่บ้านขอบด้ง และเข้ามาที่อาคาร
ศิลปาชีพ มาดูเด็กปั้นดินน้ำมัน และเขียนภาษาไทยให้พระองค์ท่านดู แล้วก็เสด็จฯออกไปดูแปลงดอกคาร์เนชั่น และพระราชทานเงิน 3 พันบาท เป็นค่าโรงเรือน
“ฉันฝากเด็กชาวเขาเหล่านี้ด้วย ตัวฉันอยู่ไกล ครูดูแลด้วยนะ” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสฝากถึงครูและเด็กๆ ในครั้งนั้นโดยให้เน้นเรื่องการเรียนและการดำเนินชีวิต
จากพระราชดำรัส “ครูเรียม” จัดการเรียนตามแนวทางของในหลวง เน้นหลักสูตรท้องถิ่น บูรณาการวิชาเรียนในสาระสังคม ศาสนาและวัฒนธรรมที่ตนเองสอนอยู่ สอดแทรกเนื้อหาเรื่องความพอเพียงและด้านสหกรณ์ และเชื่อมโยงกับสาระการงานพื้นฐานอาชีพซึ่งสอนเน้นทางด้านเกษตร ให้นักเรียนเห็นภาพรวม เริ่มตั้งแต่ปลูกผักสวนครัวและไม้ดอก ส่งไปที่สหกรณ์ จากสหกรณ์มีการซื้อการขายซึ่งเป็นเนื้อหาด้านคณิตศาสตร์ เป็นลักษณะการบูรณาการในลักษณะหลักสูตรท้องถิ่นแบบองค์รวม
ในชั้นเรียน “ครูเรียม” จะเน้นในชั้น ป.4-6 ซึ่งนักเรียนมักจะไม่เรียนต่อ โดยเน้นการสอนบูรณาการหลักสูตรท้องถิ่น มีครูภูมิปัญญาเข้ามาสอดแทรกในการสอนในแต่หลายด้าน เช่น การสานภาชนะต่างๆ ตะกร้า ฝักมีดดาบ ทำกำไลหญ้า สานกระเป๋า ฯลฯ ซึ่งนอกจากให้ตระหนักและภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นและสามารถสืบทอดต่อไปได้ ยังได้ชิ้นงานต่างๆ ไปใช้งานได้จริง หรือนำไปขายเป็นรายได้ได้อีกด้วย
สามสิบกว่าปีจากวันเริ่มต้น วันที่ “ครูเรียม” หยิบสีหยิบขนมใส่กระเป๋า สะพายเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อตามหาเด็ก เด็กรุ่นแรกของครูเรียมที่สอนหนังสือกันไปเล่นกันไปที่หัวไร่ปลายแปลงผัก ปัจจุบันประสบความสำเร็จในหลากหลายสาขาอาชีพและหลายด้าน หลายคนเป็นเจ้าของสวนเกษตรอินทรีย์ชื่อดัง เป็นเจ้าของรีสอร์ท เป็นเจ้าของไร่สตรอเบอร์รี่และอีกหลายการงานอาชีพที่อยู่กันอย่างมีความสุขในดอยอ่างขางหลายหมู่บ้านรุ่นแล้วรุ่นเล่า สอนจากรุ่นพ่อรุ่นแม่มาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
“ถ้าวันนั้นไม่มีครูแม่เรียม มาตามผมถึงบ้าน มาคุยกับพ่อแม่ของผมจนยอมให้ไปเรียนหนังสือ วันนี้คงไม่มีผมคนนี้ที่พูดอ่านเขียนภาษาไทยได้ และสามารถนำไปใช้สื่อสารกับคนเมืองเพื่อนำความเจริญมาสู่บ้านขอบด้ง หากไม่มีครูแม่เรียม แม่คนที่สองของผม จะไม่มีผมที่รับผิดชอบดูแลชีวิตของพี่น้องบ้านขอบด้งในวันนี้” นายจะก่า เขมิกา ผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านขอบด้ง อดีตเด็กไล่นกในไร่ข้าวลูกศิษย์รุ่นแรกกล่าวถึงครูเรียม
“เธอไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ หรืออาจารย์มหาวิทยาลัย แต่เธอเป็นเพียงผู้ใหญ่บ้านของชาวไทยภูเขาบนดอยสูง ครูก็ดีใจและมีพลังทำหน้าที่ต่อไป ปั้นดินให้เป็นดาวบนดอยโดยมีเธอ เด็กชายจะก่า เด็กไล่นก เป็นแบบอย่าง และหนึ่งในความประทับใจของครูที่ทำสำเร็จ” คำพูดของครูเรียมที่มีต่อจะก่า คงสะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นและความสำเร็จของครูเรียมได้เป็นอย่างดี
นอกจากปณิธานที่จะอยู่บนดอยจนเกษียณ ทำงานบนพื้นที่นี้ไปตลอดชีวิตแล้ว “ครูเรียม” มีเป้าหมายสำคัญคือ “จะอยู่เพื่อบอกกล่าวเล่าเรื่องกับคนทั่วไปให้รู้ว่า พระองค์ท่านได้ทำอะไรให้ที่นี่บ้าง” และปัจจุบัน กำลังพัฒนาให้อาคารศิลปาชีพที่พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีเคยเสด็จฯมาดูเด็กชาวมูเซอนักเรียนบ้านขอบด้งเขียนภาษาไทย ให้เป็นพิพิธภัณฑ์บอกกล่าวเล่าเรื่องชุมชนบ้านขอบด้งกับพระเจ้าอยู่หัวของไทย
“จากวันนั้นถึงวันนี้ 32 ปี สิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่วันที่พระองค์ท่านเสด็จฯคือ ตั้งใจที่จะทำหน้าที่ของความเป็นครูจนกว่าตัวเองจะหมดหน้าที่คือเกษียณ และเมื่อเกษียณแล้ว ครูยังเป็นประโยชน์ที่จะทำให้ที่นี่ได้ก็จะทำ ทำจนไม่สามารถที่จะทำได้ อาคารที่ตั้งใจทำเป็นพิพิธภัณฑ์ก็เพื่อเป็นการบอกกล่าวเล่าเรื่อง เพื่อเป็นการให้ทุกคนรู้ว่า ชนเผ่าบนดอย มูเซอและปะหล่องมีความเป็นมาอย่างไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านมาตรงนี้เพื่อทำอะไร บอกกล่าวเล่าเรื่องต่างๆ ให้เด็กๆ ได้เห็นคุณค่าของการดำเนินชีวิต ณ ที่แห่งนี้”
นี่คือสิ่งที่ทำมาตลอดชีวิตและความตั้งใจของ “ครูเรียม สิงห์ทร” แม่ครูผู้สานต่อคำพ่อหลวง
สำหรับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี นับเป็นรางวัลระดับนานาชาติเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระปรีชาด้านการศึกษา โดยสมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชานุญาตตั้งนาม “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติครูผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์สร้างคุณประโยชน์ต่อการศึกษาในประเทศต่างๆ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวม 11 ประเทศ ประเทศละ 1 รางวัล โดยจัดมอบรางวัลในทุก 2 ปี ซึ่งจะพระราชทานรางวัลครั้งแรกในวันที่ 2 ตุลาคม 2558
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี