“เชื่อมั่นว่าการศึกษาจะทำให้เราก้าวข้ามปัญหาตรงนี้ไปได้ ถ้าเด็กได้เรียนหนังสือ แล้วก็มีความรู้จริงๆ ที่ไม่ใช่รู้แบบ งูๆ ปลาๆ เขาก็จะสามารถพัฒนาตัวเองได้ เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นและมีงานทำ เมื่อมีงานทำวิสัยทัศน์เขาก็จะกว้างขึ้น มองเห็นโลกภายนอกมากขึ้น”
เป็นคำพูดของ “อรพินท์ แสนรักษ์” ถึงแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้พร้อมกับขยายความต่อว่า “ถ้าเขาได้เรียนสูงขึ้น เหตุการณ์ตรงนี้จะต้องเปลี่ยนแปลง เพราะเขาคิดได้ คิดได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดีและอะไรไม่ดี” ที่ได้กลายเป็นพลังในการทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัยมาตลอด30 ปี ด้วยอุดมการณ์และความมุ่งมั่นในหน้าที่ “ครู” อย่างเต็มเปี่ยม
แม้บรรยากาศรายรอบตัวจะเต็มไปด้วยคาวเลือด ควันปืน และเสียงระเบิด ไม่เว้นแต่ละวัน และเป็นเป้าหมายอ่อนแอที่ต้องได้รับความดูแลเป็นพิเศษจากเจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายความมั่นคงแต่“ครูอรพินท์” ก็ยังยืนหยัดสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กๆ ด้วยความตั้งใจที่ “จะไม่ทอดทิ้งนักเรียนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ด้วยความเสียสละดังกล่าวทำให้ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย“อรพินท์ แสนรักษ์” จาก โรงเรียนไทยรัฐวิทยา(ชุมชนบ้านต้นไพ)อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เป็นหนึ่งในผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นครูผู้สมควรได้รับพระราชทาน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” และผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลในระดับ “ครูยิ่งคุณ” ประจำปี 2558ของ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาและ กระทรวงศึกษาธิการ
“พ่อเป็นตัวอย่าง เป็นแรงบันดาลของการมาเป็นครู เด็กที่พ่อสอนนั้นเป็นเด็กด้อยโอกาส ยากจน อยู่ในชนบทที่ห่างไกลของจังหวัดปัตตานี เราเป็นลูกครูดูดีกว่าเขาเยอะ เด็กๆ ที่มาเรียนด้วยกันเขาแทบไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ เลยเกิดความรู้สึกว่า ทำไมเราไม่ทำให้เขามีชีวิตที่ดีกว่านี้ แล้วก็เห็นงานที่พ่อทำ ก็เลยอยากเป็นครูเหมือนพ่ออยากจะสร้างเด็กเหล่านี้ ให้เขาได้มีโอกาส ให้มีที่ยืนในสังคม” ครูอรพินท์เล่าถึงแรงบันดาลที่ถ่ายทอดมาจาก “พ่อ”
หลังจากเรียนจบ “ครูอรพินท์” ก็รับราชการเป็นครูในพื้นที่ชนบทและเสี่ยงภัยของจังหวัดปัตตานี มาตลอดระยะเวลา 30 ปี โดยไม่คิดที่จะย้ายเข้าไปสอนโรงเรียนในตัวจังหวัดทั้งๆ ที่มีโอกาส ประกอบกับการเป็นคนปัตตานีโดยกำเนิด จึงมีความรักและผูกพันกับท้องถิ่นแผ่นดินเกิดรวมไปถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิมอย่างกลมกลืนมาอย่างยาวนาน
“ถึงแม้ที่นี่จะเป็นชุมชนมุสลิม เพื่อนๆ มากกว่าร้อยละ 90 ก็เป็นมุสลิม ถามว่าถ้าเขาเป็นคนไม่ดี แล้วเราจะอยู่ได้หรือ แล้วเราจะมีเพื่อนที่เป็นมุสลิมได้หรือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่คนส่วนหนึ่ง แต่คนดีๆ ยังมีอีกมากแล้วเขาก็จริงใจกับเรา ที่เราอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเขาเป็นคนดีไม่ใช่หรือ ดังนั้นมุสลิมไม่ใช่ตัวปัญหา ถ้าเราเข้าใจกันไม่ว่าพุทธหรือมุสลิมก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ บนความเข้าใจและเคารพในความเชื่อที่แตกต่างกัน เพราะเราอยู่ด้วยกันแบบนี้มานานแล้ว” ครูอรพินท์เล่าถึงมุมมองของการทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ๆ
การทำงานกับเด็กในพื้นที่ๆ ใช้ “ภาษามลายู” เป็นหลักในการสื่อสาร เป็นโจทย์สำคัญของของ “ครู” โดยเฉพาะครูผู้สอนวิชาภาษาไทย เนื่องเพราะเป็นภาษาที่สองพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนจึงไม่ให้ความสนใจ ทั้งๆ ที่การเรียนรู้ภาษาไทยอย่างแตกฉานนั้น จะเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดประตูไปสู่การเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด
“เราต้องเข้าใจตัวเขาก่อน แถบนี้เป็นมุสลิม เราต้องเข้าใจต้องเข้าไปนั่งอยู่ในใจเขาให้ได้ เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราก็จะเข้าถึงเขาได้ง่ายขึ้น เราเอาจุดที่เขาด้อยในเรื่องอะไร ก็เอาเรื่องนั้นมาพัฒนาเขา อย่างเรื่องการศึกษาเรารู้ว่าเขาไม่ได้รับในเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพราะภาษาไทยเป็นภาษา
ที่สองเราจึงต้องทุ่มเทเสียสละให้มาก”
ด้วยเหตุนี้ “ครูอรพินท์” จึงได้คิดค้นและหาวิธีการจัดการเรียนการสอนอย่างหลากหลายเพื่อให้เด็กๆ เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อภาษาไทยไม่ว่าจะเป็นการ “บูรณาการวิถีมุสลิมเข้ามาสอนในวิชาภาษาไทย”ให้การเรียนรู้ภาษาไทยของเด็กๆ เกิดขึ้นจากสิ่งใกล้ตัว การเปิดห้องทำงานของครูให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้อย่างสนุกสนานตามความชอบของเด็กๆ ในช่วงพักกลางวันหรือตอนเย็น โดยเริ่มต้นจากสิ่งง่ายๆ เช่น การวาดภาพอ่านการ์ตูน แล้วค่อยขยับขยายตามช่วงวัยไปสู่การเรียนรู้ภาษาไทยด้วยการฝึกเขียนไปอย่างกลมกลืน
“อันดับแรกเราต้องสร้างให้เขาศรัทธาในตัวเราก่อน ทำให้เราเป็นคนที่เด็กๆ เข้าถึงง่าย ทำให้เขารักเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพูดบุคลิกภาพ เราต้องสร้างภูมิรู้ ภูมิฐาน และภูมิธรรมของเราให้ได้ก่อนเมื่อเด็กเกิดความเชื่อมั่น รักและศรัทธา เขาก็จะเข้ามาหา ทำยังไงก็ได้ให้ได้ใจมาก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ให้ในเรื่องภาษาไทย โดยเริ่มจากสิ่งที่เขาชอบก่อน” ครูอรพินท์เล่าถึงเทคนิคการทำงานกับเด็กๆ
แต่สำหรับเด็กมัธยมต้นที่ “ครูอรพินธ์” รับผิดชอบในการสอน ทันทีที่เข้าชั้นเรียนในวันแรกก็จะสอนให้เด็กท่อง“อาขยาน” ก่อนเป็นลำดับแรก โดยเปลี่ยนวิธีคิดในการสอน สวนทางจากหลักสูตร โดยนำเรื่องของความไพเราะและความสนุกสนานเป็นเครื่องดึงดูดความสนใจ
ในการย้อนกลับมาเรียนรู้ในในภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง
“แต่ก่อนก็ให้อ่านหนังสือเด็กก็ไม่ชอบไม่อยากอ่านเพราะเขาอ่านไม่ค่อยได้ก็เลยเลิกวิธีนั้น แล้วมามองว่าเราถนัดอะไร ก็พบว่าเราถนัดอ่านทำนองเสนาะก็เลยลองเอาเรื่องนี้มา กลายเป็นเด็กๆ ชอบ เด็กๆอยากจะเรียนอีก อยากจะท่องอีก ทำให้เขารู้สึกว่าอยากจะเรียนภาษาไทยแล้วมันเพราะและมันน่าสนใจ ที่สำคัญบทอาขยานมันให้อะไรหลายๆ อย่างที่เป็นเครื่องจรรโลงใจ สอนให้เขาอ่อนโยน”
“เวลามีบททำนองเสนาะก็จะให้เขาอ่านเป็นทำนองเสนาะเลย เพราะว่าเขาได้มาจากบทอาขยาน ไม่ว่าจะเป็นโคลง กลอน ก็จะอ่านเป็นทำนองเสนาะหมดเลย พอเจอตรงไหนก็ให้อ่านเป็นทำนอง หลังจากนั้นก็เอาตรงจุดนี้มาทำให้เขาเกิดความรักในเรื่องของการเขียนต่อหลังจากที่เขาได้ท่องอาขยายไปแล้ว” ครูอรพินท์กล่าว
นอกจากการสอนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร “ครูอรพินท์” ยังพัฒนาสื่อสารสอนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และเจตนคติที่ดีในภาษาไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “หนังสือเล่มเล็ก” รวมไปถึง“เรื่องเล่าเร้าพลัง” ซึ่งเป็นหนังสือส่งเสริมการอ่านที่แต่งจากเรื่องจริงของลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่ได้รับการนำไปเผยแพร่แจกจ่ายไปยังโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดที่มีชื่อว่า“ชัยชนะของรอเซะ” ที่เขียนขึ้นมาเพื่อสร้างกำลังใจให้กับเด็กปกติ เด็กพิเศษ หรือเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ให้เกิดความมุมานะว่าเราก็สามารถทำได้ถ้ามีความมุ่งมั่นและพยายาม
ความทุ่มเทในการสอนภาษาไทยมาอย่างมุ่งมั่นทำให้ลูกศิษย์หลายคนของ “ครูอรพินท์” เกิดความรักในภาษาไทย เดินตามรอย“ครู” ที่พวกเขาศรัทธา เพื่อเปิดประตูการเรียนเรียนรู้ให้กับเด็กด้อยโอกาสในพื้นที่ อาทิ “น.ส.ปาอีซะห์ มาแฮ”ลูกศิษย์ที่ปัจจุบันเป็นครูสอนภาษาไทยที่โรงเรียนบ้านลางสาด อำเภอมายอ “น.ส.สุไรบ๊ะ กูรุง” ที่ปัจจุบันเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย โรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ อำเภอยะรัง หรือ “นายอิสมาแอ มานะ” ที่เป็นครูสอนภาษาไทยโรงเรียนบ้านต้นทุเรียน อำเภอยะรัง ซึ่งทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันมีแรงบันดาลใจในการเป็นครูเพราะมี “ครูอรพินท์” เป็นต้นแบบ
“ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นมาจากความยากจนความด้อยโอกาส ที่เกิดจากการขาดการศึกษาที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นครูแล้ว เราก็อยากจะให้แนวทางที่ถูกต้องกับเขา” เป็นมุมมองต่อสถานการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ของ “ครูอรพินท์” พร้อมกับตอบคำถามว่าที่ไม่คิดย้ายไปไหนนั้นแม้จะต้องเสี่ยงภัยและมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิตก็เพราะว่า...ที่นี่คือบ้านเกิดของเรา
“ตรงนี้เป็นบ้านเกิดของเรา แล้วทำไมลูกไม่ทำให้บ้านท้องถิ่นของเราพัฒนาขึ้น เราก็อยู่ในประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาของชาติไปที่ไหนก็ต้องใช้ภาษาไทย เราอยู่ตรงใช้ภาษามลายูก็จริง แต่ถ้าเราออกไปอยู่โลกภายนอกตรงอื่นเราก็ต้องใช้ภาษาไทย เพราะฉะนั้นภาษาไทยจึงมีความสำคัญกับชีวิตของเรา เหมือนกับส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ตรงนี้ให้ลึกและรู้จริง” ครูอรพินท์กล่าว
สำหรับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี นับเป็นรางวัลระดับนานาชาติเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระปรีชาด้านการศึกษา โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชานุญาตตั้งนาม “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี”เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติครูผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์ สร้างคุณประโยชน์ต่อการศึกษาในประเทศต่างๆ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวม 11 ประเทศ ประเทศละ 1 รางวัล โดยจัดมอบรางวัลในทุก 2 ปี ซึ่งจะพระราชทานรางวัลครั้งแรกในวันที่2 ตุลาคม 2558
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี