หลังจากรอคอยกันมาหลายยุคหลายสมัย ในที่สุดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 และได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 โดยมีผลบังคับใช้ในวันถัดมาคือ วันที่ 15 กรกฏาคม 2558 ที่ผ่านมาถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการยางพาราของไทย
เพราะเป็นการยุบรวม 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับยางคือ องค์การสวนยาง (อสย.) สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) และสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เข้าด้วยกัน เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีหน้าที่เป็นองค์กรกลางรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ภายหลังจากพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ.2558 มีผลบังคับใช้ ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2558 นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในช่วงนั้น ได้มีคำสั่งการแต่งตั้ง นายวีระศักดิ์ ขวัญเมือง ให้ดำรงตำแหน่งรักษาผู้ว่าการ กยท. ตามบทเฉพาะกาลมาตรา 74 ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการ
กยท. ไม่เกิน 120 วัน
“วีระศักดิ์ ขวัญเมือง” ถือเป็นผู้ว่าการ กยท. คนแรก แม้จะปฏิบัติหน้าที่เพียงไม่เกิน 120 วัน นับตั้งแต่พระราชบัญญัติ กยท. มีผลบังคับใช้ก็ตาม แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการ กยท. ตัวจริงได้เช่นกัน ซึ่งก่อนที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการ กยท.นั้น ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย มาก่อน
“กยท.เป็นองค์กรเกิดใหม่ มุ่งปฏิรูปการบริหารระบบยางพาราใหม่ทั้งหมด จากเดิมมีการแบ่งออกเป็นหลายหน่วยงาน ให้สามารถบริหารแบบครบวงจรในองค์กรเดียว ทำหน้าที่ทั้งส่งเสริมปลูกยาง การตลาด และการพัฒนาวิจัยยางพารา โดยเป้าหมายหลักคือ ดูแลภาคเกษตรกรชาวสวนยาง และทำให้ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่”
นายวีระศักดิ์กล่าว
เรื่องเร่งด่วน ที่กยท.จะต้องดำเนินมีอะไรบ้าง?
ผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า ระยะเวลา 120 วัน ตามบทเฉพาะคงจะทำอะไรได้ไม่มาก แต่จะวางแนวนโยบายให้ผู้ว่าการตัวจริงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการให้ได้คือ การจัดบุคลากร ของทั้ง 3 หน่วยงานเดิม ให้ลงตามโครงสร้างและปฏิบัติงานใน กยท.ให้ลงตัว และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งจะต้องดำเนินการตามสัญญาที่ค้างอยู่ให้เรียบร้อย โดยเฉพาะการส่งมอบยางพาราให้ผู้ซื้อที่เป็นผู้ค้าจากต่างประเทศ พร้อมทั้งเร่งแก้ปัญหาราคายางที่ตกต่ำตามนโยบายของรัฐบาล
สำหรับโครงสร้างการบริหารงานของ กยท.นั้น จะแล้วเสร็จก่อนกำหนดวันที่ 15 พฤศจิกายน 2558 แน่นอน โดยขณะนี้ได้มีการคณะอนุกรรมการขึ้นมา 3 ชุดคือ ชุดแรกออกกฎข้อบังคับต่างๆ ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ.2558 ชุดที่สอง ดำเนินการโอนทรัพย์จาก 3 หน่วยงาน คือ สกย. อสย. และสถาบันวิจัยยาง และชุดที่สามดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร โดยจะเป็นโครงสร้างที่ไม่ใหญ่โตมากเน้น “จิ๋วแต่แจ๋ว” พร้อมนำระบบไอทีเข้ามาใช้มากขึ้น ให้เป็นองค์กรไฮเทคโนโลยี แต่ทั้งนี้จะต้องสามารถรองรับบุคลากรจากทั้ง 3 หน่วยงานดังกล่าวได้ครบทั้งหมด โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าเดิม ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องยากเพราะแต่ละหน่วยงานมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน แต่จะต้องปรับให้เหมือนกันและมีมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งตำแหน่งของบุคลากรที่โอนย้ายจะต้องเทียบเท่าไม่ต่ำกว่าตำแหน่งเดิม
นอกจากนี้การจัดหาผู้ว่าการคนใหม่ กรรมการ กยท. ที่ยังไม่ครบ 15 คน ตามพระราชบัญญัติ กยท. ก็จะต้องดำเนินให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2558 เช่นเดียวกัน
“อีกเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการคือ สวัสดิภาพของชาวสวนยางและแรงงานผู้กรีดยาง เพราะชาวสวนยางเป็นผู้ทำอาชีพที่ดูแลส่งเงินบำรุง กยท.ดังนั้น กยท.ต้องคืนกำไรกลับไปในรูปของสวัสดิการชาวสวนยาง รวมถึงแรงงานผู้กรีดยางด้วย ทั้งนี้ พ.ร.บ.กยท.กำหนดให้จัดสรรเงินจาก “กองทุนพัฒนายางพารา” มาดูแลสวัสดิการเกษตรกรชาวสวนยางถึงร้อยละ 7 และดูแลองค์กรเกษตรกรอีกร้อยละ 3 ของเงินกองทุนที่จัดเก็บได้ในแต่ละปี พร้อมทั้งยังจะจัดสรรเงินส่วนหนึ่งมาใช้ในการสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนายางพาราอีกด้วย”
เมื่อมี กยท.แล้ว ยางพาราไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ?
นายวีระศักดิ์ มั่นใจว่า กยท. จะเป็นความหวังใหม่ที่จะทำให้ เกษตร-อุตสาหกรรมยางพาราของไทย เปลี่ยนโฉมไปจากเดิม จากที่เคยส่งออกวัตถุดิบ จะพัฒนาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากยางพาราเพื่อการส่งออกมากขึ้น โดยตั้งเป้าเบื้องต้นไว้ที่ 50:50 คือ ส่งออกในรูปแบบวัตถุดิบร้อยละ 50 และส่งออกในรูปแบบผลิตภัณฑ์อีกร้อยละ 50 จากปัจจุบันการส่งออกยางพาราของไทยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 ส่งออกในรูปแบบวัตถุดิบ ใช้ภายในประเทศร้อยละ 20 เท่านั้น
นอกจากนี้ยังได้วางเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางยางพารา (HUB)” โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางผลิตล้อยางของภูมิภาค เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพที่สามารถทำได้ เพราะมีความพร้อมทั้งวัตถุดิบ และเทคโนโลยีในการผลิต ที่สามารถพัฒนาให้ได้มาตรฐานสากล เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ กยท. อาจจะเข้าไปร่วมลงทุนกับบริษัทต่างประเทศ ตั้งโรงงานผลิตล้อยาง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งยังจะส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการใช้ยางในประเทศมากขึ้น เช่น ใช้ทำถนน แผ่นปูสนามต่างๆ เป็นต้น
“...หากประเทศไทยสามารถเป็น HUB ของยางพาราได้ ก็ไม่ต้องกังวลว่า ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นพื้นที่ปลูกยางใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ลาว เวียดนาม กัมพูชา และพม่า จะเป็นคู่แข่งของไทย แต่เราจะดึงประเทศเหล่านี้เข้ามาเป็นพันธมิตรคู่ค้าของไทย ส่งวัตถุดิบป้อนให้กับโรงงานแปรรูปในประเทศไทย ซึ่งลักษณะภูมิประเทศของไทยก็เอื้ออำนวยที่จะเป็น HUB เพราะตั้งอยู่กลางภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ไทยจะต้องเร่งสนับสนุนงานวิจัย และพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ยางให้เทียบเท่า หรือสูงกว่าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ เพื่อผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพาราของไทยเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก
ประเทศเพื่อนบ้านเพิ่งปลูกยางพารา ยังขาดประสบการณ์ และคุณภาพยางยังต่ำกว่าไทยมาก และภายใต้กรอบของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประเทศไทยสามารถกำหนดมาตรฐานวัตถุดิบยางพารา ป้องกันไม่ให้ยางพาราที่ไม่ได้มาตรฐานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมาเป็นคู่แข่งของไทย สิ่งที่จะต้องทำก็คือ ทำอย่างไรให้ตลาดยางเป็นตลาดของผู้ขายให้ได้
นอกจากนี้ เรื่องการตลาดก็เป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นตลาดตั้งรับ เป็นตลาดของผู้ซื้อ ส่วนผู้ขายกลับเป็นฝ่ายตั้งรับ ไม่มีส่วนในการกำหนดราคา ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าของวัตถุดิบกลับไม่รู้เลยว่า จะขายได้ในราคาเท่าไร เกษตรกรผลิตยางออกมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปขายที่ไหน พอขายไม่ได้ก็นำไปเก็บ เก็บไว้นานๆ ยางก็เสื่อมคุณภาพ เนื่องจากผู้ผลิตกับผู้ซื้อไม่มาเชื่อมต่อกัน ซึ่ง กยท.จะเร่งดำเนินการให้ องค์กรเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ขาย กับผู้ซื้อซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่างประเทศ ให้มาเจรจาธุรกิจการทำสัญญาซื้อขายยางพาราทั้งในระยะกลาง และระยะยาว รวมทั้งอาจจะต้องอาศัยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญมากำหนด จัดระบบตลาดใหม่ ให้ผู้ขายมีความเข้มแข็งสามารถต่อรองราคาได้...”
ระบบยางพาราของไทยมีแนวทางที่จะเป็นเหมือนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายหรือไม่?
ผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า การนำระบบแบ่งปันรายได้มาใช้กับยางพาราที่มีความซับซ้อนมากกว่าอ้อยและน้ำตาลทรายใช่ว่าจะไม่สามารถทำได้ กยท.เตรียมนำร่องทดลองใช้กับสหกรณ์กองทุนสวนยางนครพนม และผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปยางคุณภาพสูงส่งออก ทั้งนี้ทางโรงงานจะรับซื้อยางที่เป็นวัตถุดิบในราคาตลาดจากเกษตรกรผ่านทางสหกรณ์ แล้วนำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่า เมื่อขายได้กำไรเท่าไร ก็นำมาแบ่งปันกำไรตามสัดส่วนการลงทุน หากประสบผลสำเร็จก็จะขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น
“อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ที่มีความซับซ้อนน้อยกว่ายางพารา จะแบ่งปันรายได้ในอัตราส่วน 70:30 โดยเมื่อทางโรงงานน้ำตาลขายน้ำตาลแล้วมีรายได้เท่าไร แบ่งให้เกษตรกรร้อยละ 70 ส่วนโรงงานน้ำตาลได้ร้อยละ 30 เป็นค่าการผลิต แต่ยางพาราคงจะใช้อัตราส่วนนี้ไม่ได้ จะต้องมีการพิจารณารายละเอียดต้นทุนของแต่ละฝ่าย ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โดยกยท.จะเป็นผู้ประสานงาน และช่วยวางระบบการบริหารจัดการให้ทั้งหมด”
เมื่อ กยท. เกิดขึ้นมาแล้ว จะสามารถสร้างเสถียรภาพราคายางให้ดีขึ้น เกษตรกรชาวสวนยางมีสวัสดิการที่ดี มีความเป็นอยู่ที่ความมั่นคง อุตสาหกรรมยางพาราของไทยมีความเข้มแข็งตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ และจะประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ กยท.หรือไม่นั้น...ต้องติดตาม...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี