เขื่อนเจ้าพระยาเตรียมระบายน้ำ รับมือระดับน้ำจากพายุ'มูจีแก'
วันอาทิตย์ ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558, 13.49 น.
Tag :
4 ต.ค.58 สถานการณ์น้ำในเขื่อนเจ้าพระยา ที่จุดวัดน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท พบว่าระดับน้ำเพิ่มขึ้น 20 ซม. อยู่ที่ 16.43 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่ามาตรฐานกักเก็บของเขื่อนเจ้าพระยา 7 ซม. ขณะที่ระดับน้ำท้ายเขื่อนเพิ่มขึ้น 6 ซม.ไปอยู่ที่ 5.96 ม.รทก. โดยเขื่อนเจ้าพระยามีการปรับเพิ่มอัตราการระบายน้ำเป็น 75 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วิ)
โดย นายเอกศิษฐ์ ศักดีธนาภรณ์ ผอ.โครงการเขื่อนเจ้าพระยาเผยว่า ระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม 58 ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากพายุ "มูจีแก" ทำให้มีฝนตกในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าสู่เขื่อนเพิ่มขึ้น เขื่อนเจ้าพระยาจึงพิจารณาปรับการระบายน้ำเพิ่มเพื่อประสมดุลน้ำเหนือและท้ายเขื่อน และอาจจะพิจารณาปรับเพิ่มได้อีกหากระดับน้ำเหนือเขื่อน มีแนวโน้มที่จะล้นตลิ่ง ที่เขื่อนเจ้าพระยาจะรักษาระดับน้ำไว้ที่ไม่เกิน 16.75 ม.รทก เพื่อไม่ให้กระทบกับชุมชนริมแม่น้ำ รวมทั้งสวนผักของเกษตรกรในพื้นที่ริมแม่น้ำ ต.ท่าฉนวน ต.ศิลาดาน อ.มโนรมย์ จำนวนกว่า 1,000 ไร่ด้วย ซึ่งการปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา จะส่งผลให้ระดับน้ำในจังหวัดท้ายเขื่อน เช่น จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระยะ 1-3 วัน
ด้าน นายสุชาติ เจริญศรี ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามโนรมย์ จ.ชัยนาท เปิดเผยว่าจากอิทธิพลของ พายุ"มูจีแก" จะส่งผลดีให้ปริมาณน้ำต้นทานในเขื่อนหลักอย่าง เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มมากขึ้น และน้ำส่วนหนึ่งที่เป็นน้ำหลากทุ่งก็จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา และเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งในส่วนความรับผิดชอบของ คบ.มโนรมย์ หรือพื้นที่ฝั่งตะวันออกของทุ่งเจ้าพระยา ก็ถือว่าได้รับประโยชน์ เพราะพื้นที่เกษตรที่เริ่มดการเพาะปลูกไว้ช่วงต้นเดือนสิงหาคม ที่กำลังต้องการน้ำก็จะมีโอกาสได้ผลผลิต แต่ในแนวทางการบริหารจัดการน้ำ คบ.มโนรมย์จะเน้นการผันน้ำเข้าแก้มลิงเพื่อการกักเก็บ ไว้ใช้ในหน้าแล้งมากกว่า การส่งน้ำเข้าคลองชัยนาท-ป่าสัก เพราะจะเป็นการส่งมวลน้ำไปสมทบกับพื้นที่ลพบุรที่กำลังมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ ซึ่งจะไม่เป็นผลดี แต่อย่างไรก็ตามกรมชลประทานยังมีความเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกรที่กำลังตัดสินใที่จะทำการเพาะปลูกในหน้าแล้ง เพราะน้ำต้นทุนในปัจจุบันมีไม่เพียงพอต่อการจัดสรรเพื่อการเพาะปลูกนอกฤดู จึงอยากให้พี่น้องเกษตรกรเลือกปลูกพืชอายุสั้น ใชน้ำน้อยแทนการทำนาปรัง จะลดความเสี่ยงที่จะเสียหายจากภัยแล้งได้มากกว่า