วันศุกร์ ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558, 13.48 น.
"แฉ ปริมาณน้ำนมดิบพอกในโครงการนมโรงเรียนถึง 1,565 ตันต่อวัน จากตัวเลขกรมส่งเสริมสหกรณ์ รับรองปริมาณน้ำนมดิบ ปี57/58 อยู่ที่ 1,265 ตันต่อวันตามจำนวนเด็กนักเรียนทั่วประเทศ 7,688,500 คน โผ่ลมีนมกองยืม 57 ตันต่อวัน แถมเจอนมกองกลางสอดไส้อีก 300 ตัน ระบุปี58/59 ยังเพิ่มกองยืมเป็น170 ตันต่อวัน อ.ส.ค.ร้อนตัวผลักภาระให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ เซ็นรับรองปริมาณนมดิบ"
9 ต.ค. 58 แหล่งข่าวกระทรวงเกษตรฯ เปิดเผยว่า จากที่มีตัวเลขรับรองปริมาณน้ำนมดิบปีที่ 57/58 อยู่ที่ 3,740 ตัน ต่อวัน โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นคณะอนุกรรมการนมทั้งระบบ และยังเป็นผู้รับรองปริมาณน้ำนมดิบทั้งประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการนมโรงเรียนทุกราย ต้องเซ็นเอ็มโอยูกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ทำสัญญาซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร ตามกติกา1,265 ตัน ต่อวัน เพื่อรองรับเด็กนักเรียนอนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ทั่วประเทศ จำนวน 7,688,500 คน
สำหรับ โครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน จะให้ผู้ประกอบการรับซื้อน้ำนม 365 วัน ไปบริหารจัดการ ตลอดถึงจนถึงการจ้างโรงงานใหญ่ผลิตเป็นนมกล่องยูเอชทีช่วงปิดเทอม แต่ที่ผ่านมา ตัวเลขที่ผู้ประกอบการนำไปแสดงต่อกรมส่งเสริมสหกรณ์ ถึงหลักฐานการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรได้จำนวน 1207.20 ตัน ต่อวัน จากผู้ประกอบการ 75 ราย จะเห็นว่าสองตัวเลขนี้ไม่ตรงกัน ปริมาณน้ำนมดิบหายไป 57 ตัน ต่อวัน
ซึ่งทางองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) แก้ปัญหาโดยการทำเป็นกองยืมนมพาณิชย์ ขึ้นมาอีก 57.8 ตัน ต่อวัน จึงเกิดการตั้งคำถามว่า ทำไมในกลุ่มผู้ประกอบการ 75 ราย จึงไม่ได้เท่ากัน และไปยืมจาก แหล่งนมพาณิชย์ที่ไหน ใช้หลักอะไรในล็อกสกุลนม ว่าเป็นนมโรงเรียน หรือนมพาณิชย์ อีกทั้ง อ.ส.ค.ยังมีการตั้งนมกองกลางไว้อีก 3 ร้อยตัน โดยอ้างหลักเกณฑ์ว่านมอาจจะขาดช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซึ่งกลุ่มผู้ผลิตนม 75 ราย จาก 4 สมาคม จะได้ประโยชน์จากนมกองกลาง
กลุ่มผู้ผลิตนม 75 ราย จาก 4 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และแปรรูปผลิตภัณฑ์นม ซึ่งมีสมาชิกเป็นอ.ส.ค. และผู้ประกอบการนมโรงเรียน 16 ราย ขณะที่สมาคมผู้ผลิตยูเอสทีมี 33 ราย สมาคมผู้ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ มีสมาชิก 23 ราย สมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารนมไทย มี 3 ราย รวมแล้ว 75 ราย โดยให้ 4 สมาคมดูแลปริมาณน้ำนมดิบกองกลา 300 ตัน ต่อวัน รวมจาก 1,265 ตัน บวกกับ 300 เป็น 1,565 ตัน ต่อวัน
เป็นเรื่องแปลกสำหรับนมกองกลาง จริงๆ ไม่ต้องมี เพราะช่วง ปิดเทอมไปจ้างผลิตเป็นนมกล่องยูเอชทีอยู่แล้ว ซึ่งผลสุดท้ายนมกองกลาง ได้เอาไปจัดสรรให้พรรคพวกตัวเอง ในกลุ่มผู้ประกอบการ โดยกลุ่ม 1 มีปริมาณน้ำนมดิบ 315.98 ตัน ต่อวัน ได้กองกลางอยู่ที่ 53.94 ต่อวัน กลุ่ม 2 มีปริมาณน้ำนมดิบ 570.68 ตันต่ อวันได้กองกลาง166.72 ตัน ต่อวัน กลุ่ม 3 มีปริมาณน้ำดิบที่ 209.60 ตัน ต่อวัน มีกองกลางอยู่ 52.09 ตัน และกลุ่ม 4 มีปริมาณน้ำนมดิบ 110.94 มีกองกลางอยู่ 27.25 ตัน ต่อวัน
ทั้งนี้ใน เอมโอยูรวมระบุปริมาณน้ำนมดิบ 1207.20 ตัน เป็นตัวเลขที่กรมส่งเสริมสหกรณ์รับรองมา และยังเอากองยืม มาให้ผู้ประกอบการในสังกัด เช่น สมาคมแปรรูป 10 ตัน สมาคมยูเอชที 32.13 สมาคมพาสเจอร์ไรส์ 10.04 ตัน และสมาคมอุตสาหกรรมนม 5.63 รวมแล้ว กองยืม 57.80 ตัน ต่อวัน
ถ้ามาดูการจัดสรร ถ้าคิดจากเอากองการผู้ประกอบการ ไม่ทำเอมโอยู ที่ไม่ตัวเลขข้อตกลงซื้อขายน้ำนมดิบ แต่ได้ซื้อขายนมโรงเรียน เช่นวิทยาลัยเกษตรเทคโนโลยีอุทัยธานี ได้โควตา126420 ถุงต่อวัน เอาจากตัวเลขกองกลาง ไม่รู้ว่านมดิบจากที่ไหนมาผลิต รวมนมกองยืมและกองกลาง มีผู้ประกอบการได้ผลประโยชน์ 25 รายล้วนเป็นรายใหญ่ๆ ที่ อ.ส.ค. ตั้งขึ้นมาให้กันเอง จริงๆ ตัวเลขทำเอมโอยู 75 ราย กลุ่ม1 ถ้าเอาน้ำนมดิบ 315.98 มาแสดง กลุ่มนี้จะได้โควตา 207192 หน่วย/กล่อง/ถุง แต่อสค.จัดสรรให้1861608 หน่วย หายไป145584หน่วย
มาดูกลุ่มยูเอชที มี33ผู้ประกอบการมีนมดิบ570.68 ได้ 3625116 หน่วย แต่อสค.จัดสรรให้ 3770697 มากกว่ากัน145581 ลดตัวเองลงมาไปให้กลุ่มสองโดยใช้นมจากกองกลางและกองยืม ส่วนสมาคมนมพาสเจอร์ไรส์ 23 ราย ใช้ตัวเลขน้ำนมดิบ 209.60 โควตา 1331430 อคส.1331477 ผลต่างกัน 47 หน่วย และกลุ่มสุดท้ายมีปริมาณนมดิบ 110.94 ตันได้ โควตา 704723 ในส่วนนี้ผลต่าง 5 หน่วย
ทั้งนี้ หากเอาสิทธิมาเทียบน้ำนมดิบกลุ่ม 1 และ 2 อ.ส.ค. ลดสิทธิตัวเองไป 104084 หน่วย ลดกองกลางตัวเองลงมา เอาแค่ 5 ตัน ไปโผล่กลุ่มยูเอชที เหมือนเอากลุ่มหนึ่งมาให้กลุ่มสอง สรุปเป็นการโยกผลประโยชน์กองยืมเอื้อให้กัน
แหล่งข่าวกล่าวว่า การตั้งนมกองกลางอุปมาอุปไมยขึ้นมาเฉยๆ โดยตั้งสมุมติฐานว่านมขาด โดยหลักการแล้วดี ดูแลนมไม่ให้ล้น แต่มาคิดเป็นเป็นเปอร์เซนต์คูณไป ได้ปริมาณนมโรงเรียน 145000 หน่วย คูณ 7 บาท ได้รับงบจากรัฐมาต่อหัว/ต่อเทอม เป็นเงิน 130 ล้านกว่าบาท และแปลกมากที่กรมปศุสัตว์เพิ่งขออนุมัติจากครม. เพิ่มโควตานำเข้านมผมเพิ่มมาอีก 2.2 หมื่นตัน ให้กับผู้ประกอบการ 37 ราย รวมกับโควต้าปกติ เป็นปีนี้นำเข้า 8 หมื่นกว่าตัน
อีกทั้งการจัดสรรโควตาไม่สมดุล อย่างสหกรณ์พัทลุง ทำเอมโอยู มีปริมาณน้ำนมดิบ 36.50 ตัน ต่อวัน ได้โควตาผลิตนมถุงโรงเรียน 200,900 ถุงต่อวัน แต่เทียบกันกับสหกรณ์โคนมมวกเหล็กมีนมดิบ 36.79 ตัน แต่ได้ผลินนมถุง 264,511 ถุง ต่อวัน ห่างกันเกือบ 6 หมื่นหน่วย พวกนี้มาจากกองยืมและกองกลางมาให้พวกกัน ซึ่งไม่ตรงกับนโยบายว่าต้องให้โควตาตามปริมาณนมดิบ และจำนวนเด็กนักเรียน
มาตรการวางไว้คือให้ผู้ประกอบการใช้น้ำดิบ รับซื้อจากเกษตรกรทุกวันไม่ให้นมล้นตลาด แต่บางรายซื้อนมเท่ากัน แต่ได้โควตาไม่เท่ากัน ส่วนต่างเพิ่มขึ้นมา เอานมดิบทำจริงไปทำนมโรงเรียนหรือไม่ ขาดการตรวจสอบย้อนกลับ และตั้งกองกลาง กองยืมเพื่อจุดประสงค์ใดแน่
รวมทั้งระบบการตรวจสอบเกษตรกรที่ขายน้ำนมให้โครงการ เข้มงวดมากเกินไป โดยกรมปศุสัตว์ ไปตรวจสุ่มใช้ตัวเลขในเดือนส.ค.ปี 58 เทียบกับส.ค.ปี 57 ถ้าปี 57 มีอยู่ 78 ตัน จะแสดงเอกสารให้เข้าโรงเรียนได้ 20 ตัน ตันไปขายนมพาณิชย์ ถ้าตรวจแล้วได้แค่ 70 ตัน ลดลงไป 8 ตัน ใช้หลักเกณธ์ตัดนมโรงเรียน ให้จาก 20 ตัน เหลือ 12 ตัน โดยไม่ถามเกษตรกรเลย
สรุปว่าปริมาณน้ำนมดิบเข้าโครงการนมโรงเรียนเทอมสองปี 58/59 อยู่1094.33 ตันต่อวัน ให้ผู้ประกอบการไปแย่งซื้อกัน โดยตั้ง กองยืมเพิ่มขึ้นไป 170 ตันจากปี่ที่แล้ว 57 ตัน เพราะอ.ส.ค.เริ่มกลัวนำมาเพิ่มปริมาณกองยืมเป็น 170 ตันต่อวันบวกกับ 1094.33 ตัน ต่อวันเพื่อให้ได้ 1265 ตัน ต่อวัน ไปเซ็นเอ็มโอยู รับนมดิบกับกรมส่งเสริมสหกรณ์
ผลสุดท้ายทำไมไม่ถามเกษตรกรได้รับผลดีผลเสียแค่ไหน และวันนี้มิลค์บอร์ด กำลังคุ้มครองใคร ทำไมจึงมีนมกองกลาง 300 ตัน สอดไส้เข้าไปในแผนโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน และปล่อยให้ผู้ประกอบการเลือกพื้นที่ขายได้ การวางกลไกเหมือนกับกีดกันให้รายใหญ่ๆ ไม่ต้องทำอะไร ไม่มีวัวสักตัวอยู่เฉยๆ สามารถใช้วิธีไปรอนมจากกองกลาง กองยืม ซึ่งรายเล็กๆ ไม่มีโอกาสและถ้าไม่ยอม ยิ่งโดนทุบตัดโควตาลงอีก
ตอนนี้ออสเตรเลีย มาสร้างศูนย์เลี้ยงวัวนมในไทย เวียดนาม ยิ่งพัฒนาไปไกล แต่เรามัวมาทะเละกันเรื่องนมโรงเรียนเพราะความไม่รู้จักพอ ที่ผ่านมายังเคยมี มติบอร์ดมารับรองนมกองกลาง หลังจากเปิดเทอมไปแล้ว ซึ่งกรมปศุสัตว์ ไม่ควรใช้ตัวเลขผลิตน้ำนมดิบเพียงวันใดวันหนึ่งในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปีมาเป็นตัวกำหนดโควตา ซึ่งเป็นช่วงที่รีดนมวัวได้น้อยสุดมาชี้ชะตาเกษตรกร
ระบบนี้ทำให้กรมการปกครองท้องถิ่นเองไม่มีสิทธิเลือก ท้องถิ่นขอเปลี่ยนนมกล่อง แต่มิลค์บอร์ดจัดให้ไม่ตรง ผู้ประกอบการคนละภาค มาส่งให้อย่างเดียวความผูกพันไม่มี จริงๆแล้วรัฐบาล ต้องจัดระบบนมโรงเรียนใหม่ ให้มีนมที่ไหนเด็กที่นั้นได้ดื่มใช้งบในท้องถิ่น ป้องกันนมในพื้นที่ไม่ล้นระบบ มีข้อมูลตรวจสอบย้อนกันได้ และนมดิบของเกษตรกรต้องขายได้ทั้งหมด ควรเปิดเสรีให้ท้องถิ่นจัดการกันเองเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งรองรับเปิดเสรีทางการค้ากับออสเตรเลียปี63 ตอนนี้นมโรงเรียนกลายเป็นระบบผูดขาดโดยผู้ประกอบการไปแล้ว