ก่อนอื่น ต้องขอร่วมอนุโมทนาด้วยกับท่านอดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์-ชวลิต ชูขจร ซึ่งขณะนี้ได้ลาบวช 15 วัน อยู่ที่วัดเจดีย์ทอง จ.เชียงใหม่ ได้ฉายาพระภิกษุจิตตะสังวะโร ถือเป็นการบวชครั้งที่ 2 ของท่านหลังจากเคยบวชพระมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยยังเป็นผู้อำนวยการกอง และการบวชหนนี้ ท่านก็ตั้งใจว่า หากมีโอกาสจะเดินทางไปนั่งสมาธิที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ด้วย
อนุโมทนาด้วยอีกครั้งครับ
..........................................
ตื่นมาเช้าวันนี้ในกรุงเทพฯ ผมเริ่มสัมผัสได้กับสายลมหนาวที่โชยมาบ้างแล้ว หลังจากที่หลายวันที่ผ่านมามีฝนตกมาตลอด ซึ่งถือเป็นฝนท้ายๆของช่วงฤดูฝนปีนี้ เพราะตามข้อมูลการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ฤดูหนาวปีนี้ยังคงเริ่มต้นประมาณกลางเดือนตุลาคม ไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าโดยอุณหภูมิต่ำสุดสำหรับฤดูหนาวปีนี้จะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ดังนั้นแม้ช่วงนี้อาจยังพอมีฝนตกลงมาอีกบ้าง ก็คงเหลืออีกไม่เท่าไหร่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฝนที่ตกมาอย่างต่อเนื่องช่วงหลายวันมานี้ ช่วยเติมน้ำในเขื่อนต่างๆ จนพ้นจากจุดวิกฤติ มาอยู่ในระดับเป้าหมายที่จะสามารถใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและผลักดันน้ำเค็มได้ตลอดช่วงหน้าแล้งยาวไปอีก 8 เดือน จนถึงกลางปีหน้า ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ฤดูฝนอีกครั้ง
ตามข้อมูลของรองอธิบดีกรมชลประทาน คุณสุเทพ น้อยไพโรจน์ ให้ข่าวไว้ว่า น้ำฝนที่มาช่วยเติมลงในเขื่อนหลายวันมานี้ ทำให้ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล,เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ณ วันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา มีปริมาณรวมกันประมาณ 3,543 ล้านลูกบาศก์เมตร และคาดว่าจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม ก็คือ สิ้นฤดูฝนนี้ ปริมาณเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 3,600-3,700 ล้านลูกบาศก์เมตรตามเป้าหมายที่วางไว้
แต่ต้องขอย้ำว่า พอแค่การอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ ผลักดันน้ำเค็มเป็นหลักเท่านั้น ขณะที่ไม่เพียงพอที่จะเจียดไปใช้เพื่อการเกษตรประเภทที่ต้องใช้น้ำมากๆ โดยเฉพาะการ“ทำนาปรัง”อย่างเด็ดขาด เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนตอนนี้ ยังน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงกว่า 40% คือปีก่อน 4 เขื่อนหลัก มีปริมาณระดับ 6 พันล้านลูกบาศก์เมตร ลองนึกดูขนาดปีที่แล้วมีน้ำมากกว่าปีกว่า 40% ภาคการเกษตรที่แห่ทำนาปรังการตามปกติไปหลายล้านไร่ แบบไม่ฟังคำเตือน ยังเจอวิกฤติ ข้าวยืนต้นตายกันไปจำนวนมากถ้าปีนี้ยังทู่ซี้ ดึงดันจะทำนาปรังกันอีก ก็ทำนายไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า ตายกับตายแน่!!
ถึงกระนั่น จากที่รองอธิบดีฯสุเทพ น้อยไพโรจน์ ได้ลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์การเพาะปลูกปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็พบว่า มีเกษตรกรบางส่วนเริ่มทยอยทำนาปรังกันบ้างแล้ว แม้กรมชลประทานจะได้ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำที่มีอย่างจำกัดก็ตาม
นั่นอาจตีความได้ว่า 1.การประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึง ชาวนาที่ลงมือปลูกข้าวนาปรัง ไม่ได้รับรู้ข้อมูลเพียงพอหรือเปล่า 2.ชาวนารับรู้ แต่ขอไปตายเอาดาบหน้า เพราะถ้าไม่ทำนาก็ไม่รู้จะทำมาหากินอะไรหรือเปล่า
จะอย่างไรก็ตาม 2-3 ปีมาแล้ว ที่เราประสบปัญหาน้ำมีจำกัด และพยายามขอให้ลดพื้นที่ปลูก จนถึงงดปลูกเลย แต่ก็มีการดื้อดึง ฝ่าฝืนมาตลอด ทั้งปลูกเกินพื้นที่ ทั้งดึงดันจะปลูกทั้งที่ขอให้งด พอเสียหาย ก็มาเรียกร้องให้มีการชดเชย แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศแล้วว่า ถ้าใครปลูกโดยไม่ฟังคำเตือนก็จะไม่จ่ายชดเชยความเสียหายให้ก็ตาม
ฉะนั้นแล้ว การที่จะมาแก้ปัญหาปีต่อปี เห็นทีจะไม่เข้าท่าอีก ในเมื่อตัวเลขสถิติและสภาพภูมิอากาศต่างๆ ก็ชี้ให้เห็นชัดว่า แนวโน้มไทยเรายังคงจะต้องเผชิญกับปัญหาฝนตกน้อยลงเรื่อยๆ ก็ควรจะถึงเวลากำหนดเป้าหมายให้ชัดไปเลยว่า ภายในกี่ปีจากนี้ ควรจะเลิกทำนาปรังแบบเด็ดขาดได้แล้ว หันส่งเสริมให้ปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อยแทนอย่างจริงจังจะดีกว่า
ผมเองเพิ่งมีโอกาสคุยกับคุณพิษณุ จันทร์วิทัน เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศลาว เมื่อช่วงเดือนกันยายน ก่อนจะเกษียณเดือนตุลาคม ท่านชี้ได้อย่างน่าสนใจว่า ตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ล้วนปลูกข้าวพอส่งออกได้ ซึ่งไทยไม่สามารถแข่งขันเรื่องข้าวราคาถูกกับเพื่อนบ้านได้ เพราะเรามีปัญหาต้นทุนที่สูงกว่า จึงควรหันไปเน้นข้าวคุณภาพดีเป็นหลัก และเลิกทำนาปรังที่เป็นข้าวคุณภาพต่ำอย่างเด็ดขาด
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง และเมื่อไทยต้องเผชิญปัญหาขาดน้ำเพิ่มขึ้นทุกปีแบบนี้ ยิ่งควรพลิกวิกฤตินี้ ให้เป็นโอกาส
เลิกทำนาปรังเลยดีกว่า
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี